5 กุมภาพันธ์ 2557

บทเรียนเรื่องน้ำจากประเทศอินเดีย ตอนที่ 1

ในอินเดีย การเกษตรกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนยากจน แม้ว่าการเกษตรกรรมดังกล่าวใช้ปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของปริมาณน้ำทั้งหมดในประเทศ ด้วยประชากรจำนวน 1.2 พันล้านคน มีปริมาณน้ำที่ได้ต่อปีต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 1,560 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งต่ำกว่าไทยที่อยู่ที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี (ข้อมูลเฉลี่ยของปี ค.ศ. 1961-1990 จากเวป http://www.nationmaster.com/graph/env_wat_ava-environment-water-availability ) และจากการคาดการณ์ของธนาคารโลกประมาณว่า ความต้องการน้ำในอีกสองทศวรรษข้างหน้าของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวอยู่ ที่ 1.5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่า หากอินเดียยังคงใช้น้ำในระดับปัจจุบัน น้ำในอินเดียจะหมดไปในปี 2050 ตามรายงานขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ

แหล่งน้ำในอินเดีย มาจากแหล่งน้ำผิวดิน อันได้แก่ แม่น้ำและแหล่งกักเก็บน้ำต่างๆ แต่ประสบปัญหาในเรื่องการกระจายน้ำไปยังแหล่งอื่นที่ขาดแคลน อันเป็นผลมาจากการที่น้ำเป็นสิ่งที่ต้องใช้ต้นทุนมหาศาลในการจัดทำระบบการ ส่งน้ำต่างๆ ทั้งยังติดปัญหาในเรื่องการทำงานที่ล่าช้า เฉื่อยชา ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการ การรั่วไหลของน้ำจำนวนมหาศาลจากท่อส่งอันเป็นผลมาจากการขาดแคลนเงินทุนในการ ซ่อมบำรุง การตั้งราคาของน้ำที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน เพราะการตั้งราคาน้ำเป็นผลกระทบต่อนักการเมืองโดยตรง โดยเฉพาะกับฐานเสียงที่เป็นคนยากจนอันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้นักการเมืองนำเรื่องกลไกราคาของน้ำมาใช้อย่างจริงจัง ที่สำคัญการบริหารจัดการน้ำเป็นภายในรัฐแต่ละรัฐ รัฐบาลกลางไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ ทำให้ไม่เกิดความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำของทั้งประเทศ ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐในอินเดียเพิ่มสูงมากขึ้นในเรื่องปัญหาการจัด สรรน้ำ ทั้งในด้านไม่ไว้วางใจในระหว่างรัฐ รวมถึงการไม่อนุญาตให้มีการแบ่งน้ำหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำของรัฐ ไปยังรัฐอื่นหรือรัฐบาลกลาง

เกษตรกรในอินเดียส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาน้ำ เพื่อการเพาะปลูกจากมรสุมที่เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม อันเป็นเดือนเริ่มต้นของฤดูฝน นอกจากนี้ อินเดียเป็นประเทศที่มีการใช้น้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาลมากที่สุดในโลกจำนวน 20 ล้านบ่อ หากเอาความยาวของบ่อน้ำบาดาลที่มีการสูบขึ้นมาใช้ในอินเดียมาต่อเข้าด้วยกัน จะมีความยาวเท่ากับ หนึ่งในสี่ ของความยาวรอบโลก การใช้น้ำบาดาลที่เพิ่ม ไม่ได้มีสาเหตุเพียงแค่การเพิ่มขึ้นของความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นเท่า นั้น แต่ยังเป็นผลมาจากการให้การสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินการในเรื่องน้ำบาดาลที่มีราคาถูกในเรื่องการสูบน้ำ บาดาลขึ้นมาใช้ เพราะว่าการที่ทางรัฐบาลได้มีการอุดหนุนในเรื่องของ พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะกับเขตชนบทที่ห่างไกล

การส่งเสริมให้มีการใช้ น้ำบาดาลอย่างกว้างขวางส่งผลให้ปริมาณน้ำใต้ดินถูกสูบขึ้นมาใช้เกินกว่า ปริมาณน้ำที่ไหลกลับลงไปยังชั้นดิน ทำให้ปริมาณน้ำใต้ดินลดลง นอกจากนี้ การที่มรสุมซึ่งเป็นแหล่งสำคัญในการเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินในอินเดียมีปริมาณ ลดลง เป็นผลให้ปริมาณน้ำใต้ดินที่นำมาใช้ลดลงจนอยู่ระดับวิกฤติในรัฐ กุตตาราช ฮายานา มหารัชตะ ราชาสถาน และทมิฬนาดู นอกจากนี้ การสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้มากเกินไปเป็นผลให้เกษตรกรมีต้นทุนในการใช้พลังงาน ไฟฟ้าเพื่อสูบน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากระดับที่ลึกขึ้น ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำเกษตรกรรมลดลง เกิดภาระหนี้สินและปัญหาสังคมตามมา

โครงการสร้างเขื่อนและโครงการส่ง น้ำขนาดใหญ่ แทบไม่สามารถดำเนินการได้ในอินเดีย อันเป็นผลมาจากการบริหารทรัพยากรน้ำเป็นอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงการที่อินเดียยังคงมีปัญหาเรื่องการขาดดุลงบประมาณในการลงทุนโครงการ ขนาดใหญ่ ข้อเสนอที่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนและคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ของภาครัฐมักได้รับ การต่อต้านจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันเนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ดังเช่นโครงการมูลค่า 5 ล้านล้านรูปีที่รัฐบาลเสนอในปี 2546 ที่ต้องยกเลิกไปในที่สุด

การ จัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอินเดียมีรูปแบบที่เน้นการอนุรักษ์น้ำ (Conservation) ดังนั้น รัฐบาลมีการออกกฎหมายบังคับให้บ้านหรือที่อยู่อาศัยที่มีการก่อสร้างใหม่ ต้องมีที่กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในครัวเรือน และการที่พรรคร่วมรัฐบาลอนุมัติแผนพัฒนาแหล่งน้ำระยะเวลา 6 ปี ในการปรับปรุงแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และสร้างถังกักเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำฝนที่มากับมรสุม ประจำปี

แม้ว่าทรัพยากรน้ำจะมีปริมาณจำกัด มนุษย์ก็สามารถกำหนดแนวทางในการจัดการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อย่างน้อย 3 ประการ อันได้แก่ ประการแรก การปรับปรุงระบบการกักเก็บน้ำและระบบการชลประทานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  เช่น การสร้างแหล่งกักเก็บน้ำใต้ดิน แก้ปัญหาเรื่องการรั่วซึมของระบบชลประทาน ประการที่สอง เน้นการเกษตรกรรมที่ใช้น้ำน้อย การปลูกพืช หรือพัฒนาพันธุ์พืชที่สามารถทนความแห้งแล้งได้มากขึ้น ประการที่สาม การนำกลไกราคามาใช้ในเรื่องการใช้น้ำ เพื่อเกิดความสมดุลในระหว่างอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำและอุปทานแหล่ง ทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ เมื่อราคาของน้ำที่ถูกตั้งอย่างเหมาะสม จะเป็นการส่งเสริมให้ประเทศและคนในประเทศมีการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพดี ขึ้น แม้ว่าประเด็นดังกล่าวอาจเป็นประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองในหลายประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนา ทั้งสามวิธีการดังกล่าว ต้องนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน และต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การพัฒนาพืชที่ทนแล้ง เป็นต้น

ในรัฐอัตรประเทศ อันเป็นรัฐที่มีปัญหาทั้งในด้านของข้อจำกัดของแหล่งน้ำใต้ดิน และแหล่งกักเก็บน้ำจากลมมรสุม จะเป็นรัฐที่ประสบปัญหาความแห้งแล้งอยู่เสมอ ได้เริ่มโครงการจัดการบริการความต้องการในการใช้ทรัพยากรน้ำในหมู่บ้านขนาด เล็ก โดยเกษตรกรในหมู่บ้านมีส่วนในการวัดและประมาณปริมาณน้ำฝน น้ำใต้ดิน น้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับน้ำและพื้นดิน เพื่อกำหนดหาปริมาณน้ำที่มีอยู่และสามารถใช้งานได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำโดยรวม หลังจากนั้นก็มีการประชุมหารือในหมู่บ้านเพื่อกำหนดประเภทของพืชที่จะปลูก รวมถึงปริมาณน้ำที่จะใช้ในการเกษตร และการจัดสรรทรัพยากรน้ำ ข้อมูลถูกปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดเวลาทั้งในช่วงมรสุม เก็บเกี่ยว ด้วยข้อมูลดังกล่าว การบริหารทรัพยากรน้ำในรัฐอัตรประเทศจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการ ดังกล่าวที่เกี่ยวกับการจัดการน้ำโดยให้เกษตรกรมีส่วนร่วม ส่งผลให้พื้นที่แห้งแล้งดังกล่าวสามารถปลูกพืชหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 13 ชนิด เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรน้ำ ลดการใช้สารเคมีเพื่อให้มีการรักษาทรัพยากรน้ำในการทำการเกษตร โครงการดังกล่าวเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐอัตรประเทศ กำลังถูกนำมาใช้ในหลายรัฐ โดยเฉพาะกับรัฐที่มีปัญหาวิกฤติในเรื่องทรัพยากรน้ำอันได้แก่ รัฐ กุตตาราช ฮายานา มหารัชตะ ราชาสถาน และทมิฬนาดู


เป็นเรื่องน่าคิดว่า หากสภาพอากาศยังคงแปรปรวนแบบทุกวันนี้ ในไม่ช้าเราก็อาจจะเผชิญกับปัญหาเหมือนที่ประเทศอินเดียเจอ  การเติมน้ำลงใต้ดินเป็นเพียงจิ๊กซอร์เล็กๆ ในภาพรวมการแก้ไขปัญหาในภาพใหญ่  แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยอย่างประเทศอินเดีย  เราจะเรียนรู้อะไรจากเขาได้บ้าง ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น