การที่เรานำเอาน้ำใต้ดินที่มีอัตราการระเหยน้ำ มากๆ มาใช้งานที่ผิวดินซึ่งมีอัตราการระเหยมากทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล เนื่องจากเราเอาน้ำมาใช้เร็วกว่าที่ธรรมชาติจะเติมเต็มน้ำลงใต้ดิน อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทำให้ระดับน้ำใต้ดินต่ำลงเรื่อยๆ เราต้องใช้กำลังสูบมากขึ้น ขุดบ่อให้ลึกขึ้น ในขณะที่ต้นไม้แย่ลงเนื่องจากระดับน้ำใต้ดินที่เคยเป็นแหล่งน้ำของต้นไม้ ใหญ่ถูกแย่งไปใช้งาน
ดังนั้นในพื้นที่ที่แห้งแล้งมากๆ จึงควรหลีกเลี่ยงการขุดสระ แต่ให้ใช้วิธีการดักน้ำ Run off ในช่วงหน้าฝนให้ได้มากที่สุด และนำน้ำลงไปเก็บใต้ดินให้ได้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำออกไปนอกพื้นที่ ในหน้าแล้งจึงใช้วิธีสูบน้ำใต้ดินจากบ่อกลับมาใช้งาน หัวใจสำคัญของการใช้น้ำใต้ดินอย่างยั่งยืนคือเราจะต้องช่วยธรรมชาติในการ เติมเต็มน้ำลงใต้ดินในช่วงฤดูฝน เพื่อให้สมดุลกับการนำน้ำใต้ดินมาใช้งานของเราในหน้าแล้ง ในบทนี้เราจึงจะมากล่าวถึงโครงสร้างเติมน้ำใต้ดิน (Water Recharge Structure)
Water Recharge Structure มีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่เราต้องการเติมน้ำมีหลากหลายชื่อ เช่น

A. Surface Basin เป็นหลักการง่ายๆ โดยการสร้างเนินดิน เพื่อกันไม่ให้น้ำ Run off ไหลออกไปเร็ว ทำให้น้ำมีเวลาซึมลงใต้ผิวดินมากขึ้น แต่โครงสร้างแบบนี้ไม่แข็งแรง เมื่อมีปริมาณน้ำฝนมากๆ แรงดันน้ำจะกัดเซาะเนินดินออกไปได้
B. Excavated Basin ซึ่งเหมือนกับหลักการทำ Sunken Basin สำหรับปลูกพืชที่เรากล่าวถึงในกระบวนท่าที่ 1 คือการขุดดินให้ลึกลงไป 5-15 ซม. เพื่อให้โครงสร้างแข็งแรงกว่าแบบ surface basin ทำให้รองรับน้ำ Run off ได้มากกว่าแบบ surface basin แต่น้ำที่้ซึมก็ยังอยู่ใกล้ผิวดินเป็นส่วนใหญ่
C. Trench เป็นขุดร่องให้ลึก 50 - 150 ซม. เพื่อให้มีพื้นที่ดักน้ำ Runoff ได้มากขึ้น หากไม่ได้ใส่อะไรในร่องก็จะคล้ายๆ กับที่เราทำ Swale ในกระบวนท่าที่ 4 ถ้าใส่หินลงไปเพื่อชะลอการทับถมของดินจากบริเวณปากของร่องก็จะคล้าย French Drain ที่กล่าวถึงในกระบวนท่าที่ 6 การทำ trench แบบนี้ทำให้ดักน้ำได้มากขึ้น และส่งน้ำลงไปใต้ดินได้ลึกขึ้น
D. Vadose Zone Well (บ่อน้ำ) เป็นการขุดช่องลงไปถึงระดับน้ำบ่อเพื่อเติมน้ำลงไปที่ระดับน้ำบ่อ

E. Aquifer Well (บ่อน้ำบาดาล) เป็นการขุดลงไปจนถึงระดับน้ำบาดาล เพื่อเติมน้ำในระดับน้ำบาดาล
หาก พิจารณาจะเห็นว่าในกระบวนท่าต้นๆ ที่เราผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินทั้ง สิ้น ในบทนี้เราจึงจะมาลงรายละเอียดเฉพาะเรื่องการเติมน้ำใต้ในแบบ C, D และ E เท่านั้น
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น