ความจริงคิดอยู่นานว่าจะใช้ชื่ออะไรดี
เพราะว่าจะมีหลายๆ เทคนิคที่คล้ายกันมากๆ และใช้ชื่อแตกต่างกัน
แต่โดยหลักแล้วเทคนิคในกลุ่มนี้จะเป็นการให้น้ำที่ระดับลึกลงไปในดิน
เพื่อเลี่ยงการรดน้ำวัชพืชที่มีรากตื้น และลดอัตราการระเหยของน้ำที่ผิวดิน
เหมือนวิธีการอื่นๆ ที่รดน้ำที่ผิวดิน
วิธีการในกลุ่มนี้จึงเป็นการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพมาก
คิดไปคิดมาสุดท้ายเลยเลือกชื่อกลางๆ ว่า Sub-surface Watering
เทคนิค
แรกในกลุ่มนี้ที่อยากจะกล่าวถึงคือ การให้น้ำด้วยตุ่มดินเผา ซึ่งในหนังสือ
Fan Sheng-chih Shu
มีบันทึกไว้ว่ามีการใช้เทคนิคนี้ในประเทศจีนเมื่อนานกว่า 2,000 ปีที่แล้ว
(ประเทศจีนเป็นประเทศแรกๆ ในโลกที่มีการทำเครื่องปั้นดินเผา
มีบางหลักฐานบ่งชี้ว่าอาจจะมีการใช้เทคนิคนี้ในประเทศจีนนานมากกว่า 4,000
ปีด้วยซ้ำไป) ในเมืองไทยก็มีปราชญ์ชาวบ้านหลายท่านกล่าวถึงเทคนิคนี้ เช่น
พ่อ ผาย สร้อยสระกลาง ปราชญ๋จากภาคอีสาน
หลักการคือฝังตุ่มดินเผาชนิดไม่เคลือบ ซึ่งจะมีรูพรุนขนาดเล็กมาก
ทำให้น้ำสามารถซึมผ่านผนังของตุ่มออกมาในดินได้
ที่ฝาตุ่มก็จะมีฝาปิดเพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำ
และป้องกันการรบกวนจากสัตว์/แมลง
ใน
ทวีปอาฟริกาได้พัฒนาตุ่มให้มีรูปร่างทรงปากแคบสำหรับใช้ในเทคนิคการให้น้ำ
แบบนี้เรียกว่า Ollas (ดูรูปด้านล่าง) ทำให้ลดอัตราการระเหยดีขึ้นไปอีก
บางครั้งการให้น้ำแบบนี้จึงถูกเรียกว่า Ollas Irrigation
ปัจจุบันเทคนิคการให้น้ำด้วยตุ่มดินเผายังเป็นที่นิยมในหลายประเทศในทวีปอา
ฟริกา อินเดีย อิหร่าน และบราซิล
เทคนิค
ถัดมาเป็นการพัฒนาในสมัยใหม่โดยการใช้กระถางที่มีราคาถูกว่าแทน
โดยทากาวปิดรูปของกระถางด้านล่าง และทากาวประกบกระถาง 2
ใบให้เป็นรูปเหมือนด้านล่าง เพื่อใช้ทดแทนตุ่มที่มีราคาแพงกว่า
ใน
ปัจจุบันการขึ้นรูปด้วยพลาสติกมีราคาถูกกว่าเครื่องปั้นดินเผา
จึงมีการปรับปรุงเป็นแบบ Deep Pipe Irrigation (ดูรูปด้านล่าง)
โดยได้มีการทดลองในทะเลทรายในรัฐแคริฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยการฝังท่อ PVC ขนาด 2" ยาว 40 ซม. ฝังลึกในดิน 30 ซม.
และให้โผล่เหนือดิน 10 ซม. มีการเจาะรูเป็นระยะๆ ห่างกัน 1.5"
เพื่อให้น้ำสามารถไหลออกไปยังดินข้างๆ ท่อได้
มีตาข่ายปิดที่ด้านบนของท่อเพื่อป้องกันสัตว์ และแมลง
ใน
การทดลองนี้ได้ทำการรดน้ำทุกๆ 2 สัปดาห์ในปริมาณที่เท่ากัน
ปรากฎว่าต้นไม้ที่ให้น้ำด้วยตุ่มดินเผามีอัตราการรอดเกือบ 100%
ในขณะที่เทคนิค Deep Pipe Watering มีอัตราการรอดประมาณ 70-80%
ในขณะที่การรดน้ำที่ผิวมีอัตราการรอดเพียง 2% ส่วนอัตราการเจริญเติบโต
(ความสูงของต้น) ในเทคนิคของการให้น้ำด้วยตุ่ม และการฝังท่อ (Deep Pipe
Irrigation) ไม่แตกต่างกันมากนัก
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าในการทดลองนี้ไม่ได้ทำฝาปิดด้านบนของท่อ PVC
จึงทำให้มีอัตราการระเหยสูงกว่าให้ให้น้ำด้วยตุ่มดินเตา
แต่ที่เคยเห็นมีการทดลองที่โครงการห้วยทรายในพระราชดำริ
จะมีการเอากระป๋องอลูมิเนียมของ เบียร์กระป๋อง
หรือน้ำอัดลมกระป๋องมาครอบท่อแทนการใช้ตาข่าย ซึ่งน่าจะลดการระเหยได้ดีขึ้น
(หมายเหตุ ขนาดหน้าตัดของกระป๋องอลูมิเนียมจะครอบท่อขนาด 2" ได้พอดี)
ปัญหา
เล็กน้อยของ Deep Pipe Irrigation คือดินจะค่อยๆ
ไหลเข้ามาในท่อสุดท้ายก็จะทำให้ด้านในท่อเต็มไปด้วยตะกอนดิน
ทำให้น้ำไม่ไหลลงในไปในส่วนลึกเหมือนตอนที่ติดตั้งแรกๆ
(หวังว่ากว่าท่อจะตัน ต้นไม้ก็น่าจะแข็งแรงพอ)
และอัตราการระเหยที่สูงเนื่องจากเป็นโพรงอากาศลงไปถึงดินด้านล่างของท่อ
เพื่อ
แก้ไขปัญหาอุดตันจากดินที่ไหลเข้ามาในท่อต่อมาจึงได้มีการพัฒนาด้วยการเติม
วัสดุพรุน (Porous Material) เข้าไปในท่อ เพื่อลดการไหลเข้ามาของตะกอนดิน
และลดการระเหยของน้ำจากใต้ดินในเวลาเดียวกัน
นอกจากวัสดุพรุนแล้วก็มีการเติมปุ๋ยคอก
หรือปุ๋ยหมักที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำดีเข้าไปในท่อด้วย
มีการทดลองปรับสัดส่วนจาก 100% วัสดุพรุน จนเป็น 100% ปุ๋ยหมัก
ปรากฎว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ 50% วัสดุพรุน และ 50% ปุ๋ยหมัก
โดยหลักการแล้วเข้าใจว่าเทคนิคแบบนี้จะช่วยให้อากาศผ่านร่องระหว่างวัสดุไป
ที่ระดับดินด้านล่างได้มากขึ้น
และปุ๋ยคอกที่ช่วยทั้งเรื่องการรักษาความชื้น
เป็นแหล่งเจริญเติบโตของจุลลินทรีย์ที่ดี
และเป็นปุ๋ยให้แร่ธาตุสำหรับต้นไม้ ทำให้ต้นไม้มักจะงอกรากมาคลุมรอบๆ
ท่อนี้เพื่อดูดน้ำ อาหาร และอากาศ เทคนิคนี้จึงถูกเรียกว่า "Vertical
Mulch" ซึ่งแปลแบบตรงตัวว่า "การคลุมดินในแนวดิ่ง"
ต่างกับการคลุมดินรักษาความชื้นทั่วๆ ไปจะคลุมที่ผิวดินในแนวนอน
เทคนิค Vertical Mulch นี้ได้มีการพัฒนาอีกหลายรูปแบบ เช่น การนำเอาวัสดุพรุนมาใส่ถุงผ้า แล้วฝังดินแทนการใช้ท่อ (ดูรูปด้านล่าง)
รวม
ทั้งการขุดหลุมในแนวดิ่งลึกประมาณ 30 - 60 ซม. รอบๆ
ต้นไม้ในแนวเรือนยอดของต้นไม้
แล้วนำเอาวัสดุพรุนผสมปุ๋ยหมักฝังเข้าไปในรูเหล่านี้ (คล้ายๆ
รูปในกระทู้ของพี่ Sompol ) เทคนิค Vertical mulch
ยังถูกนำไปใช้ช่วยต้นไม้ที่เติบโตช้าเนื่องจากอยู่ในบริเวณดินที่ถูกอัดแน่น
เรียกว่าเทคนิคการทำสาวต้นไม้นั่นเอง
เทคนิค
การทำสาวต้นไม้ยังมีการพัฒนาไปในอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า Radial Aeration
โดยการขุดดินเป็นร่องลึกประมาณ 30-60 ซม.
เป็นแนวยาวออกไปจากลำต้นของต้นไม้เป็นแนวยาวจากลำต้นออกไปจนถึงแนวชายพุ่ม
ของเรือนยอดต้นไม้ คล้ายกับรูปดาว (ดูรูปด้านล่าง)
โดยจะพยายามขุดร่องในระหว่างแนวของรากต้นไม้เพื่อลดการกระทบกระเทือน
จากนั้นก็นำเอาวัสดุพรุนผสมปุ๋ยหมักฝังลงไปในร่องแบบเดียวกับการทำ
vertical mulch ในการขุดเป็นแนวยาวแบบนี้อาจจะกระทบกระเทือนกับรากมาก
บางครั้งจึงใช้เครื่องอัดลม หรือเครื่องอัดน้ำแรงดันสูงในการขุดร่อง
แทนการใช้อุปกรณ์ขุดตามปกติ
สุดท้ายแล้วก็มีการพัฒนานำไปใช้ร่วมกับระบบน้ำหยดทั้งแบบเดินสายบนดิน
และการฝังท่อน้ำหยดไว้ใต้ดิน
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น