หน้า ดินเปลือยจะสูญเสียความชื้นส่วนใหญ่ในดินเนื่องจากการระเหยของน้ำบริเวณผิว ดิน โดยเฉพาะบริเวณ 10 ซม. แรกจากผิวดิน และแรงแคพพิลลารีก็จะดึงให้น้ำที่อยู่ในชั้นดินที่อยู่ลึกจากผิวดินลงไป ประมาณ 30-45 ซม. ให้ขึ้นมาที่ใกล้ผิวดิน จนกระทั่งระเหยหมดไป
การห่มดินจะช่วยรักษาดินด้วยกลไกหลายอย่าง ได้แก่ :
- วัสดุคลุมดิน (Mulch) จะช่วยดูดซับแรงกระแทกจากน้ำฝนที่ตกลงมา ทำให้ดินไม่โดยทำให้แน่นมากขึ้นด้วยแรงกระแทกของฝน
- วัสดุ คลุมดิน (Mulch) จะช่วยชะลอการไหลของ run off บริเวณผิวหน้าของดิน ทำให้น้ำมีเวลาในการซึมลงดินนานมากขึ้น จึงเป็นการลดปริมาณน้ำ run off ไปในตัว นอกจากนั้นยังช่วยกั้นไม่ให้หน้าดินไหลไปกับน้ำได้สะดวก เป็นการรักษาหน้าดินไว้
- วัสดุคลุมดิน (Mulch) ยังช่วยลดการเติบโตของวัชพืช ทำให้ความหนาแน่นของพืชน้อยลง และลดการแข่งขันในการใช้ความชื้นในดิน
- วัสดุ คลุมดิน (Mulch) มีทั้งแบบอินทรีย์ (organic mulch เช่น ใบไม้ ฟาง ไม้สับ) และอนินทรีย์ (inorganic mulch เช่น หิน เม็ดดินเผา เศษอิฐหัก) วัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์ส่วนใหญ่แล้วจะย่อยสลายกลายเป็นฮิวมัสในที่สุด ซึ่งฮิวมัสนี่เองที่จะช่วยเพิ่มคุณสมบัติการอุ้มน้ำในดิน ทำให้ดินเก็บน้ำไว้ได้มากขึ้น
- เมื่อ วัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์ (Organic Mulch) ย่อยสลายจะเป็นอาหารของสัตว์ และแมลงอีกหลายชนิด เช่น ไส้เดือน ทำให้สัตว์พวกนี้เข้ามาขุดรูอยู่อาศัยใต้วัสดุคลุมดิน โดยทางอ้อมสัตว์เหล่านี้จึงช่วยทำให้ดินโปร่งมากขึ้นโดยที่เราไม่ได้พรวน ดิน ทำให้น้ำสามารถซึมเข้าไปดินได้มากขึ้น จึงเป็นการลด Run off ไปในตัว
- วัสดุ คลุมดินแบบอนินทรีย์ (Inorganic Mulch) อาจจะไม่มีประโยชน์หลากหลายเท่ากับแบบอินทรีย์ แต่จะมีความเด่นในเรื่องความทนทาน อายุการใช้งานนาน เนื่องจากไม่ค่อยย่อยสลาย และวัสดุคลุมดินแบบอนินทรีย์ก็ยังคงช่วยลดการ run off การบุกรุกเข้ามาขุดดินทำรังของหนู และยังช่วยให้ความอบอุ่นกับต้นไม้สำหรับเขตภูมิอากาศหนาว ส่วนตัวแล้วผมนิยมใช้วัสดุคลุมดินแบบอนินทรีย์คลุมดินเฉพาะทางเดินเท้า และถนนในสวน
นอก จากนั้นจะต้องระวังว่าการใช้วัสดุคลุมดินเป็นการวางไว้ที่ผิวดินเฉยๆ ไม่ใช่การคลุกกับดิน ทั้งนี้เนื่องจากวัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์ส่วนใหญ่จะมีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ ประกอบสูง แต่มีไนโตรเจนต่ำ จุลินทรีย์ซึ่งทำให้เกิดการย่อยสลายของสารอินทรีย์เหล่านี้จะต้องใช้ ไนโตรเจนมาใช้งานในการย่อย จึงจะมีการดึงออกธาตุไนโตรเจนออกจากบริเวณรอบๆ ถ้าเราเอาวัสดุคลุมดินไปคลุกกับดินแล้ว จะเร่งให้เกิดการย่อยสลายเร็วขึ้น และจะทำให้ดินขาดไนโตรเจน เมื่อดินขาดธาตุไนโตรเจนมากเกินไป ต้นไม้ก็จะขาดธาตุไนโตรเจนจนออกอาการใบสีเขียวซีด หรือใบเหลือง
ประเด็น ที่ 2 ที่กลุ่มเพอร์มาคัลเจอร์ไม่นับว่าเป็นการห่มดินคือ การใช้พลาสติกคลุมผิวดินเนื่องจากพลาสติกไม่ใช่วัสดุพรุน (porous material) การคลุมแบบนี้จะทำให้น้ำฝนซึมผ่านไม่ได้เวลาฝนตก จึงไม่ช่วยเรื่องการลด Run off แม้นว่าการคลุมแบบนี้จะช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืช แต่ในเวลาเดียวกันการคลุมด้วยพลาสติกก็จะฆ่าสิ่งมีชีวิตในดินอีกจำนวนมาก รวมทั้งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา จึงไม่นับว่าการใช้พลาสติกคลุมดินเป็นการห่มดิน
ใน ทางตรงกันข้ามมีการใช้พลาสติกคลุมดินเพื่อการทำลายล้างสื่งมีชีวิต เรียกวิธีนี้ว่า Soil Solarization โดยการใช้พลาสิกใสคลุมดิน แล้วขุดดินตรงชายขอบและกลบด้วยดินอีกครั้งเพื่อลดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าออก ดินในบริเวณตรงกลางจะเป็นเหมือนตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งจะฆ่าทั้งวัชพืช และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในบริเวณนั้นหลังจากทิ้งไว้ประมาณ 2-4 เดือน เทคนิคนี้ใช้เพื่อที่จะเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในบริเวณนั้นใหม่จากศูนย์ มีการพบว่าถ้าเปลี่ยนจากพลาสติกใสมาเป็นพลาสติกสีดำก็ได้ผลใกล้เคียงกัน
ในกรณีอุดมคตินิดๆ เราจะอยากใช้งานเทคนิคการห่มดินร่วมกับเทคนิค Sunken Basin เพื่อให้น้ำไหลมารวมที่ต้นไม้ ถ้ามีใบไม้ร่วงก็จะมีโอกาสถูกน้ำฝนพัดพาให้กลับมาที่บริเวณใต้เรือนพุ่ม ส่วนการห่มดินก็อยากจะให้ชั้นล่างเป็นปุ๋ยหมักเพื่อป้องกันปัญหาการขาด ไนโตรเจนจากขบวนการย่อยสลายของวัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์ จากนั้นจึงจะเป็นชั้นของวัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์ ส่วนชั้นบนสุดจึงจะเป็นใบไม้ที่ร่วงหล่นมาจากต้น
ตำแหน่ง ของการห่มดินที่ดีไม่ควรที่จะมากองกันบริเวณโคนต้น (ภาษาประกิตเรียกว่าการกองแบบภูเขาไฟ) เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเชื้อราที่โคนต้น
ที่ ถูกต้องคือควรจะเว้นไม่คลุมตรงโคนต้นเลย และเริ่มคลุมดินห่างจากโคนต้นออกมาประมาณ 2-3 นิ้วออกมาจนกระทั่งถึงอย่างน้อยบริเวณชายพุ่มของต้นไม้ ถ้ายังมีวัสดุคลุมเหลือก็สามารถคลุมไกลออกไปได้อีก ความหนาของวัสดุคลุมดินควรจะหนาประมาณ 2-4 นิ้ว ถ้าบางไปวัชพืชก็ขึ้นแทรกได้ง่าย ถ้าเริ่มหนากว่านี้ก็อาจจะเป็นปัญหาจากการย่อยสลาย หรือปัญหารากเน่า (ภาษาประกิตบอกว่าเวลาห่มดินให้เน้นห่มให้ครอบคุลมบริเวณเยอะ ไม่ใช่ห่มให้หนา)
ส่วน ในพื้นที่ที่ลาดชันจะเจอปัญหาวัสดุคลุมดินไหลมากองกันด้านล่าง จะต้องมีการทำเนินคั่นเป็นระยะๆ เพื่อที่จะดักใบไม้ และวัสดุคลุมดินที่จะไหลลงมา
เทคนิคการ ห่มดินยังถูกเอาไปใช้ในการทำ No-dig garden (แปลงผักที่ไม่ต้องพรวนดิน) ในกลุ่มนักเพอร์มาคัลเจอร์ ในรายละเอียดเทคนิคของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่หลักการแล้วเหมือนกันดังนี้
- ชั้น ล่างสุดจะเป็นการปูด้วยกระดาษลูกฟูกจากเศษลังกระดาษ 2-3 ชั้น หรือเศษหนังสือพิมพ์หนาๆ บนพื้นดินโดยไม่ต้องขุดดิน เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชเติบโตขึ้นมาแข่งขันกับผักที่ปลูก
- ชั้น ตรงกลางจะเป็นส่วนผสมของวัสดุอินทรีย์ เช่น หญ้าแห้ง ฟางข้าว และผสมกับปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกที่หมักเสร็จแล้ว (ต้องระวังว่าต้องผ่านขบวนการหมักที่สมบูรณ์ไม่งั้นจะมีเมล็ดของวัชพืชปนมา) เพื่อเป็นการเติมไนโตรเจนเข้าไปชดเชย ไนโตรเจนที่จะถูกเอาไปใช้ในขบวนการย่อยสลายของวัสดุอินทรีย์ ชั้นตรงกลางควรจะหนาอย่างน้อย 30-60 ซม.
- ชั้นบนสุดจะเป็นการคลุมด้วยวัสดุคลุมดินแบบอินทรีย์อีกครั้งเพื่อรักษาความชื้น
ใน การปลูกผักแบบนี้จะไม่มีการพรวนดิน เวลาปลูกมักจะต้องเพาะผักให้เป็นต้นเล็กๆ ก่อน แล้วย้ายลงมาปลูกในแปลงผักแบบนี้โดยการแหวกฟางออกให้เป็นช่องแล้ววางต้นกล้า ลงไป ตามด้วยการกลบด้วยฟางอีกรอบ ในปีถัดๆ ไปอาจจะต้องมีการเติบวัสดุคลุมดินที่ด้านบนเรื่อยๆ แต่จุดเด่นของการทำแปลงผักแบบนี้คือไม่ต้องคอยกำจัดวัชพืช และดินในแปลงจะมีความชุ่มชื้นสูง ทำให้ไม่ต้องรดน้ำบ่อยเหมือนการปลูกทั่วๆ ไป
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น