ส่วนการทดลอง Vertical Mulch แบบของสวนขี้คร้าน
ก็หาเริ่มจากหาอุปกรณ์ได้แก่ ขวดน้ำดื่มใช้แล้ว (ใช้แทนท่อ PVC ขนาด 2")
ปากกาคอแร้งสำหรับเจาะรูขวด วัสดุพรุน และปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยคอก
สำหรับวัสดุพรุนท่านอาจจะใช้หินก้อนเล็ก เพอร์ไลท์ เวอร์มิคูไลท์ หรือ
เม็ดดินเผาก็ได้ ผมเลือกใช้ BioActn แบบที่พี่ Pong2510 ใช้ด้วยเหตุผลว่า
ต่อปริมาตรเท่ากันแล้ว BioActn จะมีรูพรุนมาก จึงอุ้มน้ำได้เยอะ
รูพรุนพวกนี้จะเป็นแหล่งอาศัยของจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ติดมากับปุ๋ยหมักด้วย
แต่ BioActn ดูเหมือนจะมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหิน
จากนั้นก็เจาะรูขวด และเอาวัสดุผสมใส่ สลับกับ ปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยคอกแห้ง งานพวกนี้สามารถทำล่วงหน้าก่อนจะมาสวนได้ จะได้ไม่เสียเวลา
หนู
ทดลองต้นแรกในการปลูกตอนหมดหน้าฝนแบบนี้คือ ไผ่เหลือง
จากสวนพี่ดาบนริทร์นั่นเอง รากค่อนข้างเยอะจริงๆ ท่าทางน่าจะรอด ฝังขวด
vertical mulch เอาไว้ห่างออกไปประมาณ 20-30 ซม.
เพื่อล่อให้รากงอกออกมาหาน้ำ ถ้าวางใกล้ไป รากจะไม่เดินไกล
จากนั้นก็ฝังกลบให้เหลือแต่ฝาขวดน้ำที่อยู่เหนือดิน จากนั้นก็จะรดน้ำทุกๆ
2-4 สัปดาห์ (ตามความขี้คร้าน) ตลอดหน้าแล้ง โดยจะรดน้ำลงในขวด
และไม่รดที่โคนต้นไม้เลย จะได้ใช้น้ำน้อยๆ (ขนน้ำได้ไม่เยอะ
เพราะว่าต้องขนน้ำเดินเท้าเข้าไปในบริเวณที่ปลูก ผสมกับความขี้เกียจขนหลายๆ
รอบ ฮ่าๆๆ)
ทำ
เสร็จก็กลัวจะใช้ผลการทดลองไม่ได้
เพระว่าต้นกล้าไผ่จากสวนพี่ดาบรินทร์อาจจะแข็งแรงเกินไป ก็เลยไปขุดดินฝัง
Vertical Mulch ที่ต้นไม้ชนิดอื่นที่เคยตายเกลี้ยงเมื่อปีที่แล้ว ได้แก่
ต้นทุเรียน มังคุด และลองกอง
โดยเฉพาะทุเรียนที่ความจริงเขาแนะนำให้ปลูกที่มีฝนตกมากกว่า 2,000
มิลลิเมตร ต่อปี แต่ที่เพชรบุรีปีนี้น่าจะมีฝนถึงสิ้นปีอย่างมากไม่เกิน
1,100 มิลลิเมตร
จึงถือว่าทุเรียนเป็นไม้ผลปราบเซียนสำหรับสวนขี้คร้านเหมือนกัน
สุดท้ายอยากจะจับฉลากเสี่ยงทายว่าต้นไหนจะรดน้ำ 2 สัปดาห์ครั้ง
ต้นไหนจะรดน้ำ 1 เดือนครั้ง ส่วนผลการทดลองว่าต้นไหนจะรอด
หรือจะตายเหมือนปีที่แล้ว
ก็คงต้องอดใจรอผลไปถึงประมาณเดือนเมษายนปีหน้านะครับ
สรุปแล้ว
เทคนิคในกลุ่มของ Vertical Mulch เป็นเทคนิคที่ดีสำหรับดูแลต้นไม้แต่ละต้น
และด้วยประสิทธิภาพการใช้น้ำที่สูงจึงได้ผลดีมากในสภาพที่แห้งแล้งมากอย่าง
ในทะเลทราย อย่างไรก็ตาม vertical mulch
เป็นวิธีทีใช้ต้นทุนทั้งเรื่องวัสดุอุปกรณ์ และแรงงานค่อนข้างสูง
แถมยังมีภาระในการให้น้ำอยู่ดี
ส่วนตัวผลจึงคิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับกรณีที่มีน้ำน้อยสุดๆ แบบในทะเลทราย
หรือสำหรับการดูแลต้นไม้ที่มีราคาสูง หรือต้นไม้หายาก
เพื่อให้มั่นใจว่าจะรอดผ่านหน้าแล้งไปได้จริงๆ
แต่ถ้าจะปลูกต้นไม้จำนวนมาก ครอบคลุมบริเวณกว้าง
เทคนิคนี้อาจจะลงทุนมากเกินไปครับ
ปล.
มาถึงจุดนี้เพื่อนบางท่านอาจจะจินตนาการไปถึงต้นทุนการใช้เจลโพลิเมอร์ช่วย
ทำให้ดินชื้น เทียบกับ vertical mulch ผมยังไม่เคยซื้อโพลิเมอร์มาใช้งาน
แต่เท่าที่ดูราคาจากเวปแล้วคิดว่า โพลิเมอร์จะถูกกว่า แต่อายุการใช้งาน
และหลักการทำงานจะแตกต่างกัน โพลิเมอร์จะมีหลายราคา
มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปีตามชนิดของโพลีเมอร์
(ซึ่งก็น่าจะนานพอให้ต้นไม้ตั้งตัวได้) ส่วนโพลิเมอร์ฝังไว้ในดิน
และเน้นเรื่องการเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำที่ไหลผ่านลงไปในดิน
แต่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาดินบริเวณผิวอัดแน่น ส่วน Vertical Mulch
จะอายุการใช้งานนานกว่า ทำให้ดินโปร่งขึ้น
เป็นช่องทางให้น้ำฝนที่ตกลงมาซึมลงไปในดินได้เร็วกว่า/มากกว่าปกติ (ลด Run
off) ทำให้มีน้ำมาเก็บในดินมากขึ้นกว่าการใช้โพลิเมอร์อย่างเดียว
นอกจากนั้นช่องของ Vertical Mulch ยังเป็นช่องให้อากาศลงมาในดินมากขึ้น
ทำให้รากของต้นไม้หายใจได้ดีขึ้น
และมีโอกาศเป็นต้นเหตุของปัญหารากเน่าน้อยกว่าการใช้โพลิเมอร์
สรุปคือทั้งสองแบบไม่เหมือนกันซะทีเดียว
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น