หลักการออกแบบเตาประหยัดพลังงาน
1. พยายามใส่ฉนวนความร้อนรอบๆ ไฟ
การ
สร้างฉนวนเป็นปล่องรอบๆ เปลวไฟจะทำให้อากาศร้อนเสียสูญพลังงานน้อยลง
ความร้อนจะได้ไหลไปที่ภาชนะหุงต้มได้อย่างเต็มที่
แทนที่จะเอาความร้อนมาทำให้ตัวเตาร้อน
เหมือนกับตอนที่เราเคยพูดถึงตอนหลักสร้างบ้านประหยัดพลังงาน
วัสดุที่เป็นฉนวนความร้อนที่ดีไม่ควรเป็นวัสดุหนัก เช่น ดินเหนียว ทราย
แต่วัสดุฉนวนความร้อนที่ดีควรจะเป็นวัสดุเบามีฟองอากาศด้านในเยอะๆ
วัสดุเบาตามธรรมชาติได้แก่ หินเวอร์มิคูไลท์ หินเพอร์ไลท์ ขี้เถ้า
ซึ่งสามารถหาซื้อในประเทศไทยได้ หรือเราอาจจะใช้อิฐมวลเบา
หากจะเผาอิฐมวลเบาขี้นมาเองอาจจะทำตาม VDO ข้างบนคือ
เอาดินเหนียวผสมกับขี้เลื่อย หรือแกลบ มาขึ้นรูปตามที่ต้องการ
เมื่อเราก้อนดินที่ความร้อนสูงมากๆ ขี้เลื่อยจะกลายเป็นไอ
และทิ้งโพรงอากาศไว้ในเนื้ออิฐ
ส่วนการทำโครงของเตาด้วยโลหะเหมือนใน
ตัวอย่างของ Gasifier Stove จะไม่ค่อยคงทนมากนั้น เมื่อใช้งานเตาไปนานๆ
โลหะก็จะผุ ในอุดมคติการทำเตาด้วยพวกเซรามิค หรืออิฐทนไฟจะดีกว่า
2. ทำปล่องเหนือเปลวไฟ
ความ
สูงของปล่องเหนือเปลวไฟควรจะสูงประมาณ 3 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางปล่อง
หากปล่องสูงมากกว่านี้จะทำให้เกิดแรงดูดอากาศมาก
การเผาไหม้สมบูรณ์มากขี้น แต่ความร้อนที่ลอยขึ้นไปถึงหม้อด้านบนจะน้อยลง
ถ้าปล่องเตี้ยเกินไปอากาศอาจจะร้อนแต่การเผาไหม้จะไม่สมบูรณ์
3. เผาไม้เฉพาะที่ปลายด้านใน
หากว่า
ไม้เฉพาะส่วนที่โดยไฟเผาร้อนจะเกิดควันน้อย ถ้าเราเผาไฟสะเปะสะปะ
จะมีหลายส่วนของฟืนได้รับความร้อนทำให้มีควัน และไอพิษมาก
เพื่อลดปัญหานี้ให้เผาเฉพาะที่ปลายได้
และพยายามทำให้ส่วนที่เหลือของไม้เย็นมากพอที่จะไม่เกิดควัน
4. ควบคุมความแรงของไฟด้วยจำนวนไม้ที่ถูกเผา
ปรับความแรงของไฟด้วยจำนวนฟืนที่เผาพร้อมๆ กัน จำนวนฟืนมากก็จะร้อนมาก เราไม่ควรควบคุมความร้อนด้วยการเปิดปิดช่องอากาศ
5. ควบคุมให้อากาศไหลเข้าไปได้สะดวกตลอดการเผา
อากาศ
เย็นที่ไหลเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้ไฟมีอุณหภูมิสูง
และเผาไหม้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเราจุดเตาไปได้สักระยะหนึ่งอาจจะมีขี้เถ้าลงปิดช่องทางไหลของอากาศ
หากต้องจุดเตาเป็นเวลานานควรจะหมั่นตรวจสอบว่าอากาศไหลได้สะดวก
แต่ถ้าระมัดระวังไม่ให้อากาศไหลเข้าไปมากเกินไปเนื่องจากจะทำให้ไฟร้อนน้อย
6. รักษาขนาดของปล่องและช่องอากาศเข้า
เพื่อ
ให้เกิดแรงดูดอากาศเข้าไปในเตาที่ดี ขนาดหน้าตัดของปล่องไฟในเตา
และขนาดหน้าตัดของช่องเปิดให้อากาศเข้าด้านหน้าควรจะเท่ากัน
อากาศจะได้ไหลได้สะดวก
7. อย่าวางฟืนบนพื้นเตา
เรา
ควรจะมีชั้นวางไม้ฟืนเพื่อยกระดับฟืนให้สูงขี้นมา
อากาศจะได้ไหลเข้าไปในเตาใต้ไม้ที่ถูกเผา เป็นการ preheat
ทำให้อากาศร้อนขึ้นเมื่อเข้าไปผสมกับแก๊ส เกิดการสันดาปที่สมบูรณ์
ถ้าเราให้อากาศไหลเข้าไปเหนือไม้ฟืน
อากาศจะเย็นกว่าแบบแรกทำให้ไฟมีอุณหภูมิลดลงโดยไม่จำเป็น
และอาจจะทำให้เกิดควันไฟขึ้นมาได้
8. รักษาระยะห่างของช่องที่อากาศร้อนไหลผ่าน
ขนาด
ของช่องว่างที่เหมาะสมจะช่วยให้การแลกเปลี่ยนความร้อนจากอากาศร้อนไปที่หม้อ
ดี หากช่องว่างห่างเกินไปอากาศร้อนส่วนใหญ่จะไหลอยู่ตรงกลางช่อง
ทำให้แตะโดนผิวของหม้อน้อยไป
ถ้าช่องว่างแคบเกินไปจะให้แรงดูดของอากาศน้อยเกินไป
อากาศร้อนไหลไม่สะดวกทำให้มีปัญหาเรื่องการเผาไหม้
ความร้อนก็ส่งไปที่หม้อน้อยเช่นกัน ขนาดของช่องว่างนี้ขึ้นกับขนาดของเตา
ถ้าเตาใหญ่ก็ต้องการอากาศไหลผ่านมากช่องว่างก็จะต้องมากหน่อย
ถ้าเตาเล็กก็ควรลดขนาดของช่องว่างลง จะต้องมีการทดลองปรับขนาดให้เหมาะสม
การ
ใช้เหล็กมาครอบรอบๆ หม้อเหนือเตา (pot skirt)
ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งในการเพิ่มระยะเวลาที่อากาศร้อนสัมผัสกับผิวของหม้อ
จะช่วยประหยัดพลังงานได้ เช่นกัน
เรา
จะเห็นว่าแบบของเตาสมัยใหม่จะพยายามลดระยะห่างระหว่างเตากับผิวของหม้อให้
เล็ก และมีขนาดช่องว่างสม่ำเสมอ (เมื่อเทียบกับเตารูปแบบเดิมๆ)
โดยการทำเป็นฐานเอียงๆ ตามรูปของเตามหาเศรษฐีเพื่อรองรับหม้อหลายขนาด
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น