31 ตุลาคม 2556

Peak Oil (ตอนที่ 4) - ถอดรหัสบทเรียนจากกรณีประเทศคิวบา

ย้อนกลับไป ก่อน special period เกษตรกรในคิวบาเน้นปลูกอ้อย และยาสูบเป็นแปลงขนาดใหญ่ และใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยมากมายเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงเพื่อส่งออก แลกกับน้ำมัน และนำเข้าพืชอาหารจากต่างประเทศ (ฟังดูคุ้นๆ คล้ายแนวคิดชาวสวนยางหลายๆ แห่ง)  ทันทีที่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน   ทำให้เกิดปัญหาหลัก 2 อย่างคือ เกษตรกรไม่มีทักษะการปลูกพืชอาหารอื่นมากนัก และเกษตรกรไม่คุ้นเคยกับการเพาะปลูกโดยไม่มีน้ำมัน   ทำให้ไม่สามารถสร้างผลผลิตส่งให้ผู้คนในเมืองได้เพียงพอกับความต้องการ หรือทดแทนอาหารนำเข้าที่ลดลงมากถึง 80% ผลที่ตามมาในระยะสั้นคือไม่มีอาหารเพียงพอจำหน่าย  ไม่ว่าคุณจะยินดีจ่ายแพงแค่ไหนก็ไม่อาหารเพียงพอ  อาหารมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ปัญหาดูเหมือนว่าจะซับซ้อนและมีเรื่องเกี่ยวโยงกันหลายอย่าง

เหมือนที่ Bill Mollison ผู้บัญญัติคำว่าเพอร์มาคัลเชอร์เคยกล่าวไว้ว่า "Though the problems of the world are increasingly complex, the solutions remain embarrassingly simple." วิธีการแก้ไขปัญหาชาวคิวบาตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดกลับเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย  เรามาดูวิธีการแก้ไขปัญหาในหลายๆ ด้าน

1. แปลงผักคนเมือง (Urban Garden)
เนื่องจากอาหารที่จัดสรรจากรัฐลดลงเหลือเพียง 20% ของปริมาณอาหารที่คนปกติควรจะได้รับ  ผู้คนในสังคมเมืองเริ่มปรับตัวเพื่อหลีกหนีให้พ้นจากการอดตาย  พวกเขากลับไปหาพื้นดินที่รกร้างว่างเปล่าในเมือง บางที่ก็เป็นที่ทิ้งขยะ  พวกเขาเริ่มทำความสะอาดพื้นที่และลงมือปลูกพืชกันเองในรูปแบบของแปลงผักชุมชน  หลายๆ คนไม่เคยมีประสบการณ์ทำเกษตรมาก่อนในชีวิต  พวกเขาเริ่มลงมือทำอย่างลองผิดลองถูก ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง หวังเพียงจะได้มีอาหารยังชีพบ้าง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 มีอาสาสมัครนักเพอร์มาคัลเชอร์จากออสเตรเลียเดินทางมาต่อยอดการแก้ไขปัญหาด้วยการถ่ายทอดเทคนิคต่างๆ ในการทำการเกษตรในแปลงผักคนเมืองของชุมชน  ไม่ว่าจะเป็น การดักเก็บน้ำฝนเพื่อเอามาใช้งานในการเกษตร การใช้ประโยชน์จากน้ำทิ้งในครัวเรือน  การลดการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝน การทำปุ๋ยหมัก การเลี้ยงไส้เดือน การดูแลเรื่องศัตรูพืช และการทำการเกษตรอินทรีย์ 

นักเพอร์มาคัลเชอร์เหล่านี้ยังสอนเทคนิคใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเพาะปลูกในเมือง โดยการนำพื้นที่ที่ไม่มีสัมผัสดินมาใช้งาน เช่น  การปลูกผักในภาชนะ, การปลูกผักบนดาดฟ้า, การทำแปลงผักแบบ wicking bed บนพื้นซิเมนต์ เป็นต้น  นอกจากนั้นมีการเปิดอบรมหลักสูตร train the trainer เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ที่จะถ่ายทอดเทคนิคเหล่านี้ออกไปทั่วประเทศคิวบา

ชาวคิวบาที่ร่วมในการทำแปลงผักคนเมืองพวกเขาเริ่มจากนำผลผลิตมาบริโภค ส่วนที่เกินบริโภคก็จะแบ่งปันอาหารให้คนชรา หญิงมีครรภ์ และเด็กๆ  แปลงผักกลายเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้กัน  ถ้าพวกเขาช่วยตอบคำถามไม่ได้ก็จะแนะนำให้ว่าควรจะไปคุยกับใคร ผลิตผลส่วนเกินจากการแจกก็จะมีการแลกเปลี่ยนกัน ทำให้ค่อยๆ เกิดตลาดในชุมชนจากการแลกเปลี่ยนอาหาร และแลกเปลี่ยนความรู้ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการซื้อขาย โมเดลแบบนี้เริ่มขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ทำให้มีตลาดชุมชนเล็กจำนวนมากถูกจัดตั้งขึ้นมา  โมเดลแบบนี้ช่วยแก้ไขปัญหาได้หลายๆ อย่างได้แก่


  • ผักที่ปลูกเป็นเกษตรอินทรีย์ ไม่ได้ใช้สารเคมีที่ต้องใช้พลังงานน้ำมันในการผลิตเหมือนระบบการเกษตรเพื่อการค้าแบบเดิมๆ
  • แปลงผักเป็นแปลงขนาดเล็ก และมีพืชหลากหลาย จึงลดปัญหาเรื่องแมลง ทำให้ไม่ต้องสูญเสียพลังงานในการกำจัดศัตรูพืช
  • การ ขาย/แลกเปลี่ยนกันเองในชมชุมในรัศมีไม่เกิน 5-10 กิโลเมตร  ทำให้ไม่ต้องเสียเงินในการเดินทาง ผู้ซื้อผู้ขายสามารถเดิน หรือใช้จักรยานเดินทางมายังตลาดได้
  • เนื่องจากไม่ต้องขนส่งไกล จึงไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ต่างๆ มาก
  • เนื่องจากไม่ต้องขนส่งไกล ทำให้พืชผักมีความสด และมีคุณค่าอาหารสูง  ลดปัญหาเรื่องขาดสารอาหาร
  • การ ผลิตโดยคนในชุมชนเพื่อคนในชุมชน  ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นที่ต้องการชุมชน  ทำให้ไม่ผลิตพืชพักที่ตลาดๆ ไม่ต้องการ ทำให้มีอาหารที่เหลือเกินจนถูกทิ้งให้เน่าเปื่อย ( waste ) น้อยลง เป็นการประหยัดพลังงานเช่นกัน

การเริ่มต้นทำแปลงผักคนเมืองดูเหมือนจะแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนวิธีการเดิมๆ แต่ก็ไม่อาจรองรับปัญหาทั้งหมดในชุมชนเนื่องจากมีประชากรอยู่ในสังคมเมืองหนาแน่นจนทำให้พื้นที่เพาะปลูกในเมืองอย่างเดียวไม่เพียงพอกับการบริโภคของทุกคนในชุมชนเมือง

2.การทำการเกษตรอย่างยั่งยืน
ก่อนที่จะเกิดวิกฤตนี้คิวบาถูกครอบงำโดยต่างชาติผู้ซึ่งแสวงหาผลประโยชน์จากการผลิตน้ำตาลของคิวบา ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างกว้างขวางเพื่อเปลี่ยนมาเป็นไร่อ้อย มีการใช้สารเคมีอย่างมากจนทำลายดินไปเกือบหมด  ภายหลังจากที่เริ่มเกิด special period รัฐบาลคิวบาจึงส่งเสริมเกษตรอินทรีย์อย่างกว้างขวาง แต่การฟื้นตัวของธรรมชาติไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน  ขบวนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในดินเพื่อให้สามารถทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปใช้เวลา 3-5 ปี  แต่ก็เป็นวิถีที่ยั่งยืนกว่าการทำการเกษตรแบบเดิมที่ใช้เครื่องจักร และสารเคมีจำนวนมาก

เกษตรกรเริ่มกลับไปใช้แรงงานคน และสัตว์ในการเกษตรเหมือนยุคสมัยเดิม เพื่อทดแทนเครื่องจักรกลการเกษตร  ก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคเกษตรอย่างมาก  อาชีพเกษตรกลายเป็นอาชีพที่ร่ำรวยที่สุด  เพราะไม่ต้องเสียเงินไปหาซื้ออาหาร สามารถปลูกในสิ่งที่กิน/กินในสิ่งที่ปลูก และยังสามารถขายส่วนที่เหลือกินให้กับคนในเมืองได้อีกด้วย

3. การจัดสรรที่ดิน
เมื่อเริ่มนโยบายการทำการเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ  รัฐบาลคิวบาพบว่าไม่สามารถใช้เทคนิคการบริหารงานแปลงเพาะปลูกเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่กับวิถีของเกษตรอินทรีย์แบบที่ไม่ใช้เครื่องจักรได้  เนื่องจากการทำการเกษตรในรูปแบบที่ไม่มีน้ำมันให้ใช้จะพึ่งแรงงานคนมาก  ทำให้ไม่สามารถทำเป็นแปลงขนาดใหญ่มาก  รัฐบาลคิวบาตัดสินใจแบ่งพื้นที่การเกษตรของรัฐมากกว่า 40% มาจัดสรรให้เกษตรกรทำการเกษตรอินทรีย์แปลงขนาดเล็ก โดยไม่เรียกเก็บค่าเช่าภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องลงมือเพาะปลูกพืชอาหารแบบ เกษตรอินทรีย์ด้วยตนเอง (ไม่ใช่เอาไปปล่อยเช่าต่อ)  ถ้าไม่ดำเนินการจะยึดที่ดินคืนเพื่อมอบให้เกษตรกรรายอื่นเข้ามาดำเนินการ และมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าเมื่อมีความจำเป็นรัฐจะสามารถยึดที่ดินคืนเพื่อมาทำประโยชน์อื่นในอนาคต

เกษตรกรหลายรายตัดสินใจออกจากการเป็นลูกจ้างทำงานเกษตรของรัฐ ออกมาทำการเกษตรด้วยตนเองในฟาร์มขนาดเล็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนมากรอบๆ เขตเมือง รวมทั้งมีคนที่เคยอาศัยอยู่ในชุมชนเมืองหลายครอบครัวแสดงความสนใจ และยินดีย้ายออกจากเมืองมาอาศัยในชนบทเพื่อทำการเกษตร

การจัดสรรพื้นที่แบบนี้ช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่าง เช่น

  • ทำให้รัฐแบกรับภาระในการจ้างงานน้อยลง (ลูกจ้างต้องออกไปทำมาหากินเอง รัฐไม่ต้องเลี้ยง)
  • มีคนยินดีย้ายออกจากเขตเมืองทำให้ประชากรในเมืองมีความหนาแน่นนอนลง (อย่าลืมว่าแปลงผักคนเมืองมีพื้นที่ไม่เพียงพอจะตอบสนองการบริโภคของคนในเมือง) รัฐก็สามารถจัดสรรอาหารให้กับคนในเมืองได้มากขึ้น (ปริมาณอาหารประมาณเดิมแต่เหลือคนน้อยลง  คนพวกที่รับจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตรต้องไปหากินเอาเอง รัฐไม่ต้องดูแล)
  • เริ่มมีเอกชนเข้ามาดำเนินการเพาะปลูก และจำหน่ายสินค้าเกษตรในราคาย่อมเยา (เพราะไม่มีต้นทุนเรื่องที่ดิน) เป็นทางเลือกให้กับชุมชนเมืองในการหาซื้ออาหารเพิ่มเติมจากที่รัฐจัดสรรให้ (รัฐจัดสรรอาหารให้ไม่เพียงพอ)
  • มีคนมาช่วยรัฐปรับสภาพดิน ฟื้นฟูระบบธรรมชาติอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนของรัฐ
  • รัฐมี option ที่จะยึดคืนหากไม่ทำตามนโยบายของรัฐ เป็นการควบคุมการใช้งานที่ดินไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์

4. การศึกษาและสุขภาพ
เมื่อเกิดเหตุ special period ปัญหาความไม่เพียงพอของระบบขนส่งสาธารณะทำให้ลดประสิทธิภาพในการทำงานของประเทศเป็นอย่างมาก  แม้นจะมีการนำเข้าจักรยานจำนวนมากจากจีน  แต่...ถ้าคุณเคยปั่นจักรยานแม่บ้านซึ่งไม่มีเครื่องทุ่นแรงอย่างระบบเกียร์เป็นระยะทางไกลกว่า 20 กิโลเมตร (ปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) คนรู้ว่ามันจะทรมานก้นมาก  ยิ่งถ้าต้องปั่นไปกลับ (40 กิโลเมตร) ทุกวันคุณจะยิ่งเข้าใจว่ามันทรมานมากสำหรับคนทั่วไปที่คุ้นเคยกับการนั่งรถ

เพื่อเป็นการลดจำนวนคนที่ต้องเข้าไปใช้บริการรถสาธารณะ  จึงมีความจำเป็นจะต้องกระจายระบบศึกษา และสาธารณสุขพื้นฐานออกไปยังชุมชนต่างๆ ในอุดมคติแล้วระยะเดินทางไม่เกิน 10 กิโลเมตรจะอยู่ในวิสัยที่ผู้คนสามารถจะใช้จักรยานเดินทางได้โดยไม่ลำบากมากนัก รัฐบาลคิวบาจึงส่งทีมแพทย์และพยาบาลที่มีอยู่จำนวนมากออกไปทำงานอยู่ในชุมชน แทนที่จะอยู่ที่โรงพยาบาล  เข้าไปให้การรักษาพื้นฐาน ให้คำแนะนำเรื่องอาหาร (ทำงานร่วมกับเกษตรกร และแปลงผักชุมชนด้วย) และสมุนไพร  เน้นหนักที่การป้องกัน มากกว่าจะไปรักษาเมื่อเจ็บป่วยมาก  นโยบายแบบนี้ทำให้คิวบาเป็นประเทศที่มีสัดส่วนของประชากรเป็นนักวิทยาศาสตร์ และบุคคลากรทางด้านการแพทย์สูงที่สุดในทวีปอเมริกา  (คิวบามีแพทย์ประมาณ 5.7 คนต่อประชากร 1000 คน ประเทศไทยมีแพทย์ 0.37 คนต่อประชากร 1000 คน  ร้องไห้ )
จำนวนแพทย์ต่อประชากร

กอปรกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเนื่องจากรัฐย้ายสถานที่ที่ประชาชนต้องไปติดต่อบ่อยๆ เข้ามาใกล้มากขึ้น  คนจึงหันไปใช้จักรยาน และเดินเท้ามากขึ้น  (ช่วยลดปริมาณคนใช้รถสาธารณะไปในตัว)  ทำให้อัตราการเป็นโรคหลายอย่างลดลง (เช่น อัตราคนเป็นโรคเบาหวานลดลงมากว่า 50% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านอาหารการกินที่กินผักมากขึ้น และต้องออกกำลังด้วยการเดินเท้า/การปั่นจักรยานมากขึ้นในชีวิตประจำวัน) ประชาชนคิวบามีสุขภาพดีพอๆ กับประชาชนในสหรัฐอเมริกาทั้งๆ ที่มีการบริโภคน้ำมันน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาอย่างมาก (หมายเหตุ  ตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันต่อประชากรนี้จะรวมถึงน้ำมันที่ถูกใช้ในภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งในประเทศด้วย)
อัตราการบริโภคน้ำมันต่อประชากร
(ข้อมูลปี 2003 ของปริมาณพลังงานที่ใช้ต่อประชากรต่อปีในหน่วย kWh/person/year ของคิวบา 1,245 สหรัฐ 10,381 ส่วนประเทศไทยอยู่ที่ 1,872 เย้ๆๆๆ เราก็ไม่เลวร้ายมากนัก  อายจัง ....ก่อนที่จะมีการซื้อรถเพิ่มอีก 500,000 คันในปี 2555 ร้องไห้ )
ปริมาณพลังงานที่ใช้ต่อประชากรต่อปี

ในระยะต่อมาเมื่อประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น  คิวบาจึงส่งออกบุคคลากรทางการแพทย์ออกไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแลกกับการนำเข้าสินค้าอื่นๆ

รัฐบาลคิวบายังให้ความสำคัญในด้านการศึกษาโดยให้งบประมาณมาถึง 20% ของงบรัฐบาลเป็นงบการศึกษา ในขณะที่อังกฤษให้งบ 11% และสหรัฐอเมริกาให้งบ 14%  ในช่วง special period รัฐบาลคิวบาเพิ่มจำนวนสถานศึกษาใกล้บ้านของประชาชนมากขึ้น  จำนวนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นจาก 3 เป็น 50 แห่ง (คิวบามีประชากรเพียงแค่ 11 ล้านคน) ทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่ต้องเดินทางไกลจากบ้าน  เพื่อให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง  และแน่นอนว่าการทำการเกษตรอินทรีย์ก็ถูกบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน

ความจริงแล้วยังมีอีกหลายมาตรการที่ประเทศคิวบานำมาใช้งานเพื่อรับมือกับวิกฤตพลังงาน และการปิดกั้นทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา  แต่คิดว่าทุกคนคงเข้าประเด็นพอสังเขปแล้วว่า  ก่อน special period ชาวคิวบาคุ้นชินกับสิ่งอำนวยความสะดวก และเครื่องทุ่นแรงต่างๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่าหลายสิ่งในชีวิตประจำวันในเมืองต่างเกี่ยวพันกับการใช้พลังงานอย่างซับซ้อน  กลไกของเศรษฐกิจที่ตีมูลค่าของสิ่งต่างๆ บิดเบือนการตัดสินใจให้ทำลายธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อแสวงหาผลตอบแทนในรูปตัวเงิน  การสนใจมูลค่ามากกว่าคุณค่าทำให้หลงระเริงอยู่ได้เพราะมีน้ำมันเป็นตัวสร้างภาพมายาว่าทุกสิ่งกำลังไปได้ดี  หลงไปกับพลังงานหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า หรือน้ำประปา ที่ส่งตรงมาถึงบ้านให้ใช้กันจนแทบไม่รู้สึกว่ามันมีอยู่ (คล้ายๆ กับอากาศที่เราจะรู้สึกว่ามันมีอยู่เมื่อไม่มีอากาศจะหายใจ)  วันหนึ่งที่การเข้าถึงพลังงานน้ำมันทำได้ยาก  ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ บทเรียนเหล่านี้สอนว่าก่อนที่เราจะไปไทอย่างแท้จริงได้ เราต้องเป็นไททางพลังงานให้ได้ก่อน  เรื่องที่น่าสนใจคือสุดท้าย special period ในคิวบาก็ค่อยๆ มีสถานะการณ์ดีขึ้นในช่วงหลังของทศวรรษ 1990 แต่ชาวคิวบาเหมือนจะได้รับ Wake up call จากเหตุการณ์นี้ และก็ไม่ได้หวนกลับไปใช้ชีวิตที่ยึดติดกับพลังงานฟอสซิลอย่างหนักเหมือนเดิม

บทเรียนจากชาวคิวบาทำให้ต้องกลับมาทบทวนวิถีการใช้ชีวิตของตนเองว่าวันนี้พวกเราพร้อมแล้วหรือยังเมื่อ Peak Oil มาถึงจริงๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า?  ทำให้มีคำถามผุดขึ้นมาในหัวอีกหลายๆ ประเด็นวิถีชีวิตที่เรากำลังทำอยู่ อยากให้ลองคิดหาทางหนีทีไล่เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง

  • การหาซื้อบ้านใหญ่โตเมื่ออายุน้อยๆ เพราะกะว่าจะซื้อบ้านครั้งเดียวในชีวิต สุดท้ายได้บ้านชายเมืองต้องขับรถวันละหลายสิบกิโลเมตร
  • การพักอยู่ในที่คอนโดชั้นสูงๆ ชนิดที่เรียกว่าถ้าไฟดับก็ไม่อยากคิดเรื่องเดินลงจากตึกเลย
  • การพึ่งพิงอาหารที่ขนส่งจากจังหวัดที่ห่างไกลของชุมชนเมือง
  • การผลิตแปลงขนาดใหญ่ที่วันนี้ยังทำอยู่ได้เพราะอาศัยเครื่องจักร และพลังงาน
  • การผลิต และขนส่งไปขายในจังหวัดที่ห่างไกล
  • การทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อแลกเงิน (และส่งของไปขายไกลๆ)  แล้วเอาเงินมาหาซื้ออาหารที่ขนส่งมาจากที่อื่น
  • การพึ่งพิงสารเคมีที่ต้องนำเข้า หรือผลิตโดยโรงงานต่างถิ่น
  • การปล่อยน้ำฝนที่ตกลงมาไหลลงท่อระบายน้ำ  แล้วใช้น้ำประปามารดน้ำสนามหญ้าแทน
  • การทำการเกษตรที่พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศที่ห่างไกล
  • และ...กิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่ใช้พลังงาน

ผมไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความตื่นตระหนก  เราอาจจะๆ ไม่ได้เผชิญปัญหาในทันทีทันใดที่ oil peak มาถึง  ตัวอย่างเช่นใน สหรัฐอเมริกานั้น peak oil เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1970 ความสามารถในการผลิตน้ำมันของสหรัฐเกิดขึ้นจริง  แต่ก็ถูกชดเชยด้วยการนำเข้าจากต่างประเทศ  วิกฤตจริงๆ กลับมาเกิดในช่วงปี ค.ศ. 1973 และ 1976 เนื่องจากปัญหาการนำเข้าจากตะวันออกกลาง  ต่อมามีการค้นพบแหล่งน้ำมันที่อะลาสกาทำให้วิกฤตน้ำมันของสหรัฐเบาบาง  ทำให้สหรัฐเรียนรู้ว่าประเทศของเขาเปราะบางแค่ไหนต่อการเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลาง  อย่างไรก็ตามไทยไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันกับสหรัฐ และช่วงเวลาที่เรากำลังจะเผชิญจะเป็น peak oil ของโลก ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง  ในช่วงเวลานั้นนานาประเทศที่มีน้ำมันอาจจะหยุดส่งออกน้ำมันเพื่อเก็บไว้เพื่อความอยู่รอดของคนในชาติตนเอง  จึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ขอย้ำว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความตื่นตระหนก  ผมไม่ได้มีเจตนาให้ท่านเลิกทำสิ่งที่ท่านทำอยู่  เพียงต้องการนำเสมออีกหนึ่งมุมในการทำการเกษตรซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเรื่องผลตอบแทนต่อไร่สูงสุด และแนวคิดเรื่องผลตอบแทนในรูปตัวเงินสูงสุด  สักวันหนึ่งบางท่านจะเข้าใจว่าเงินเป็นเพียงมายา  ในธรรมชาติไม่มีแนวคิดเรื่องเงิน คนมีเงิน 10 บาท และมีเงิน 10 ล้านก็ต่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่แตกต่างกัน ต่างก็อยู่ในกรอบของธรรมชาติ... ที่ดินราคาไร่ละสิบล้าน และที่ดินราคาไร่ละไม่กี่หมื่นบาทใช้ปลูกพืชได้ไม่แตกต่างกัน... เงินไม่มีความหมายในโลกของธรรมชาติ  ทำอย่างไรเราจึงจะหาที่ยืนเล็กๆ ในโลกของธรรมชาติ มีอาหารพอประทังชีวิตโดยไม่ไปเบียดเบียนระบบนิเวศที่สมดุลมากจนเกินไป  ทำอย่างไรเราจึงจะได้ผลผลิตพอประทังชีวิตโดยใช้พลังงานฟอสซิลต่ำสุด  ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถทำงานร่วมกับธรรมชาติ  แทนที่จะพยายามเอาชนะธรรมชาติ  ติดตามการเดินทางหาคำตอบ และการลงมือทดลองในสวนขี้คร้านตอนต่อไป 

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น