9 กุมภาพันธ์ 2557

จะรวยไปทำไม?

อ่านกระทู้แม่นางสุสะดุด กับวลี "..จะรวยไปทำไม ไม่ทราบ.." ทำให้จิตย้อนไประลึกถึงแนวคิดเก่าๆ ของมนุษย์ที่แสวงหาสังคมที่สงบสุขบริบูรณ์เสมอมานานหลายพันปีแล้ว  มนุษย์มีความหวังว่าสภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้เรามีสังคมที่สงบ สุขบริบูรณ์  ตัวอย่างเช่น ท่าน จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งทรงอำนาจทางแนวคิดที่สุดในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

หมายเหตุ เดิมทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะอิงกฎของเซย์เรื่องตลาดเสรีจะเกิดความสมดุลหากภาครัฐ ไม่เข้าไปแทรกแซง  ต่อมาเกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เป็นช่วงกำเนิดของทฤษฎีเคนส์  ที่เสนอว่าภาครัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้ไม่เกิดปัญหาเศรษฐกิจ และกลายเป็นแนวคิดพื้นฐานในการทำงานของรัฐบาลทั่วโลกมาจนปัจจุบัน  สนใจอ่านรายละเอียดได้ที่

https://th.wikipedia.org/wiki/เศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์
http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_economic_doctrines/29.html

เคนส์กล่าวไว้ว่า

"For at least another hundred years we must pretend to ourselves and to everyone that fair is foul and foul is fair; for foul is useful and fair is not. Avarice and usury and precaution must be our gods for a little longer still."

"ในช่วงเวลาอีกอย่างน้อยร้อยปีต่อไป เราจะต้องแสร้งทำเสมือนว่าความเท่าเทียมคือความเลวทราม และความคดโกงคือความยุติธรรม  เพราะความคดโกงมีประโยชน์ แต่ความเท่าเทียมหามีประโยชน์ไม่  พวกเราคงจะต้องยึดความโลภ  การขูดรีดทางการเงิน(ของชนชั้นนายทุน) และการระแวดระวังไว้ก่อน (ความไม่เชื่อใจกัน ต้องระวัดการคดโกง) เป็นพระเจ้าของเราไปอีกสักพักใหญ่ๆ "

ตาม แนวคิดของเคนส์การสร้างความร่ำรวยได้เร็วเราอาจจะไม่ต้องสนใจเรื่องจริยธรรม หรือความยุติธรรมก็ได้ เนื่องจากจริยธรรมจะอุปสรรคในการสร้างความร่ำรวย  หลังจากทุกคนร่ำรวยพอแล้ว พวกเขาจะมีความสุขและเป็นคนดีเอง  รัฐบาลทั่วโลกที่ดำเนินการตามแนวคิดของเคนส์จึงมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดี อยู่ดีเป็นหลัก  และหวังว่าทุกอย่างจะดีตามไปเอง   นโยบายในแนวนี้มีปัญหานอกเหนือจากเรื่องของจริยธรรมและเรื่องของสมมติฐานที่ ว่าความร่ำรวยนำไปสู่ความสุข นั่นคือ ณ จุดไหนมนุษย์จึงจะรู้สึกว่าเขารวยหรือมีความสุขเพียงพอแล้วและจะเริ่มเป็นคน ดี ในวิชาเศรษฐศาสตร์กระแสหลักซึ่งยึด การขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเป็นสรณะไม่มีคำว่า "เพียงพอ" หากมีแต่คำว่า "มากขึ้น" ฉะนั้นท่ามกลางสังคมที่มีแต่ความขาดแคลนซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโลก จึงไม่มีสังคมไหนบอกว่ารวยพอแล้ว หรือรวยเกินไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหาชนิดนี้

ใน ปัจจุบันการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงสุดอย่างต่อเนื่องประสบความ สำเร็จอย่างงดงาม เมื่อเทียบกับในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คำนวณว่าในช่วงเวลาราว 1,000 ปีระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-16 เศรษฐกิจโลกขยายตัวโดยเฉลี่ยปีละ 0.1% เท่านั้น ในยุคปัจจุบันเศรษฐกิจโลกขยายตัวโดยเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ตามการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงจนดูจะลืมไปว่าเศรษฐกิจมีไว้ เพื่อรับใช้คนก่อให้เกิดปัญหาตามมาสารพัด

ในเบื้องแรก จริงอยู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจนำไปสู่ความมั่งคั่งและการบริโภคได้ในระดับ สูง แต่ความมั่งคั่งและการบริโภคได้ตามใจชอบ จนเข้าขั้นสุดโต่งนั้นมิได้นำความสุขมาให้สังคมมนุษย์ ดังสมมติฐานของวิชาเศรษฐศาสตร์ การวิจัยครั้งแล้วครั้งเล่าในสหรัฐอเมริกาช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมายืนยันตรงกันว่า ชาวอเมริกันมิได้มีความสุขเพิ่มขึ้นทั้งที่มีความมั่งคั่ง และการบริโภคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงข้ามพวกเขากลับมีความรู้สึกว่า มีความสุขน้อยลงเนื่องจากความเสื่อมทรามของสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การหย่าร้าง ยาเสพย์ติด ความเครียด ความหงอยเหงาเศร้าซึมและมลพิษต่างๆ การศึกษาเหล่านั้นนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างเข้มข้น

วิชา เศรษฐศาสตร์วัดค่าของสิ่งต่างๆ ตามราคาในตลาดโดยไม่คำนึงว่าสิ่ง เหล่านั้นมีค่าหรือโทษมหันต์ในตัวของ มันเองในปัจจุบันและในวันข้างหน้าอย่างไรหรือไม่ ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ได้แก่ อากาศรอบตัวเราซึ่งมีค่าต่อชีวิตสูงยิ่ง แต่ไม่มีการซื้อขายกันในตลาด มันจึงไม่มีราคา และไม่ถูกนำมารวมเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ การไม่ตีราคาให้อากาศ เพราะคิดว่ามันมีอยู่อย่างไม่จำกัดนี้นำไปสู่การใช้อากาศแบบไม่ระวัง จนสร้างปัญหาหนักหนาสาหัส ในรูปของการมีมลพิษอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน มลพิษในอากาศเป็นส่วนหนึ่ง ของความเสื่อมทรามของระบบนิเวศ ซึ่งมีผลกระทบทางลบ ร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ การคิดว่าอากาศ มีอยู่อย่างไม่จำกัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสมมติฐานที่ว่า โลกนี้มีทรัพยากรมากมาย จนไม่จำกัด ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ผิด

เป็นที่ ประจักษ์อย่างแจ้งชัดด้วยว่า มีกิจกรรมจำนวนมากที่มีค่าแต่ไม่มีราคาในตลาด มันจึงไม่เคยถูกวัดเป็นส่วนหนึ่งเศรษฐกิจ เช่น งานของแม่บ้านซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการทำอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ หรือการดูแลเด็กและคนชราซึ่งล้วนมีค่าสูงยิ่งทั้งในด้านร่างกายและจิตใจของ สมาชิกในครอบครัว  สิ่งเหล่านี้ไม่มีราคาในตลาด จึงไม่เคยถูกวัดเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ แต่ถ้าแม่บ้านสองคน เกิดมีไอเดียแปลก  โดยการแลกงานกันทำ แล้วจ่ายค่าแรงให้กันและกัน ค่าแรงเหล่านั้นจะถูกนำมาคิดเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจทันที ทั้งที่ความอยู่ดีกินดีของทั้งสองครอบครัวมิได้เพิ่มขึ้น ตรงข้ามมันอาจลดลง

ดัง นั้นเราจึงเริ่มได้ความชัดเจนมากขึ้นว่าความร่ำรวยไม่ได้เท่ากับความสงบสุข ของสังคม (แม่นางสุเลยถามว่า "..จะรวยไปทำไม ไม่ทราบ..") แต่ประชาชนจำเป็นจะต้องมีความกินอยู่ที่ดีพอในระดับหนึ่งที่เราเรียกว่า "ความพอเพียง"  แล้วความพอเพียงจะวัดได้อย่างไรในเมื่อมนุษย์แต่ละคนมีความโลภแตกต่างกัน?  เพื่อให้เป็นมาตรฐานความเพียงพอจึงควรจะอยู่บนฐานของความต้องการของร่างกาย หรือความจำเป็น

การแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เกินความจำเป็นเกิดจากความต้องการสนองความอยากอันมีฐานอยู่บนความโลภจะต้องถูกจำกัดเพราะ โลกนี้ไม่มีทรัพยากรพอที่จะสนองความอยากของทุกคนได้ นอกจากนั้นกระบวนแสวงหาอันไม่มีวันสิ้นสุดยังนำไปสู่การทำลายจิตวิญญาณของ มนุษย์เองอีกด้วย ฉะนั้นเศรษฐศาสตร์จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อต้องยอมรับความจริงที่ว่าคน ไม่ใช่เครื่องจักร หากเป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณ

วิชาเศรษฐศาสตร์จะมี จิตวิญญาณได้ด้วยการยอมรับหลักปรัชญาซึ่งมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกับเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก อาทิ เรื่องแรงงานซึ่งเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการผลิตสินค้าและบริการ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมองว่า แรงงานเป็นต้นทุนที่นายจ้างจะต้องหาทางลดให้เหลือน้อยที่สุด หรือถ้าเป็นไปได้ก็แทนที่แรงงานทั้งหมดด้วยเครื่องจักร ส่วนแรงงานเองก็มองว่างานมิใช่สิ่งที่น่าพิสมัยอะไรนัก การมีรายได้โดยไม่ต้องทำงานคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ปรัชญาของศาสนาต่างไม่มองเช่นนั้น หากมองแรงงานว่า มีความหมายในสามระดับด้วยกัน คือ มันเปิดโอกาสให้คน (1)พัฒนาและใช้สติปัญหาของตน (2)ลดความเห็นแก่ตัว และ (3)ผลิตสิ่งที่มีค่าสำหรับดำเนินชีวิต  การมุ่งเน้นการผลิตสินค้า และบริการด้วยการใช้เทคโนโลยีที่จำกัดแรงงานจึงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เทคโนโลยี ที่เหมาะสมสำหรับการคงไว้ซึ่ง จิตวิญญาณของมนุษย์ได้แก่เครื่องมือ ที่เอื้อให้การทำหัตถกรรมสะดวกขึ้น ไม่ใช่เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีมนุษย์เป็นเพียงฟันเฟืองเท่านั้น   การพัฒนาเศรษฐกิจจึงไม่ควรจะอยู่บนพื้นฐานของการสร้างกำไรสูงสุด  แต่เป็นเศรษฐที่ทำให้ทุกคนมีอาชีพมีความเป็นอยู่ที่พอเพียง อยู่รอดได้ทั้งพนักงานและบริษัท

เรื่องการบริโภคก็เช่นเดียวกัน เศรษฐศาสตร์กระแสหลักวัดมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนด้วยระดับของการบริโภค คนที่บริโภคมากกว่าถือว่าเป็นผู้ที่มีมาตรฐานความเป็นอยู่สูงกว่าผู้ที่ บริโภคน้อย ฉะนั้นทุกคนจะต้องบริโภค อย่างน้อยเท่ากับเพื่อนบ้าน และถ้าหากเป็นไปได้ก็ให้พยายามบริโภคมากกว่านั้น เพื่อจะได้มีความรู้สึกว่าอยู่ดีกินดี และมีความสำเร็จสูงกว่า คนจึงเป็นเครื่องบริโภคที่ไร้จิตวิญญาณและมีหน้าที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว

สำหรับ ในระดับปฏิบัติ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในขณะนี้คือ การค้าเสรีมีผลทำให้สินค้าราคาถูกลง เพราะบริษัทข้ามชาติย้ายฐานไปผลิตสินค้าในประเทศที่มีค่าแรงต่ำ การที่สินค้ามีราคาถูกกระตุ้นให้เกิดการบริโภคอย่างเมามัน พร้อมๆ กับการก่อหนี้ยืมสินแบบท่วมท้นโดยทั่วไป ในขณะที่บริษัทข้ามชาติและคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในประเทศที่มีค่าแรงต่ำ ร่ำรวยขึ้น ความยากจนข้นแค้นแสนสาหัสยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในโลก นอกจากนั้นยังมีปัญหาที่ผุดขึ้นมาอย่าง ต่อเนื่องอีกด้วย

แต่ทั้งหมด เป็นเพียงการแสวงหาความมั่งคั่งมากขึ้น...เพิ่มขึ้น...ดีขึ้น...ซับซ้อน ขึ้น...ยิ่งใหญ่ขึ้น...ยิ่งใหญ่...มาก...มากกว่าเดิม...มากกว่าเดิม โดยไม่มีจุดจบ ไม่มีจุดพอดี...ไม่มีความพอเพียง

การผลักดันให้ เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยการพัฒนาที่เน้นการเติบทางเศรษฐกิจด้วยการ เพิ่มการผลิต เพิ่มการกินการใช้ทรัพยากรเป็นหนทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่นานทรัพยากรในโลกก็ต้องหมด การเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นสินค้าแทนที่จะคิดเป็นต้นทุนก็เป็นการถลุง ทำลายอนาคตของโลก น้ำมันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีจำกัด เท่าที่สำรวจและกำลังขุดมาใช้อยู่กำลังบ่งชี้ว่าเรากำลังอยู่ใกล้จุดพีคอ อยล์   ถ้าเรายังใช้กันอย่างไม่ยั้งคิดก็จะหมดในเวลาอีกไม่กี่สิบปี หากขุดพบเพิ่มใหม่อีกบ้างตามตัวเลขที่สำรวจก็จะอยู่ได้ถึงเพียง 200 ปี แล้วจากนั้นมนุษย์ก็จะต้องกลับมาปรับตัวย้อนสู่ยุคที่ยากลำบากยิ่งกว่ายุค โบราณ   ในขณะที่พลังงานทางเลือกจะไม่เพียงพอที่จะตอบสนองอัตราการใช้งานในปัจจุบัน ได้เพียงพอ   นอกจากนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องนี้ยังนำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมายที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น การขาดแคลนน้ำ การพังทลายของดิน การสูญหายไปของ สิ่งมีชีวิต มลพิษในอากาศและการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนผิวโลก ปัญหาเหล่านี้ล้วนมีพลังที่จะทำให้เกิดความหายนะต่อสังคมมนุษย์ทั้งสิ้น   ดังนั้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วยการเร่งเพิ่มการผลิตจึงเป็นทางสู่หายนะ ของมนุษยชาติ   เพราะยิ่งเร่งความเจริญ ก็ต้องยิ่งเร่งผลิต  เร่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ก็จะเร่งไปสู่ทางตัน

ถ้าชาวโลกทุกคนจะ บริโภคด้วยอัตราสูงเหมือนเช่นชาวอเมริกันจริงๆ เราจะเอาทรัพยากรจะมาจากไหน   การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้ทรัพยากรอย่างน้อย 6 เท่าของที่ชาวโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่โลกไม่มี  ฉะนั้นในขณะนี้จึงมีการแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างเข้มข้น ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นต่างกัน เกี่ยวกับผลของการแย่งชิงทรัพยากรจะออกมาในรูปไหน กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าโลกยังมีทรัพยากรอีกมากมาย และรอเพียงวันที่มันจะถูกค้นพบเท่านั้น กลุ่มนี้เชื่อด้วยว่าเทคโนโลยี มีอานุภาพสูงพอที่จะแก้ปัญหาในอนาคตได้ หรือไม่ก็จะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาความขาดแคลนได้ อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่ากลไกตลาดมีอำนาจสูงพอที่จะแก้ปัญหาได้ นั่นคือ เมื่อทรัพยากรชนิดหนึ่งขาดแคลน ราคาของมันก็จะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการค้นหาส่วนที่ยังมี หลงเหลืออยู่ พร้อมกันนั้นการพัฒนาสิ่งอื่นขึ้นมาทดแทนก็จะเกิดขึ้นด้วย  แต่ทฤษฎีที่ไม่รวมปัจจัยของเวลา และความไม่แน่นอนเข้าไปด้วย เมื่อสองปัจจัยนี้ถูกนำมาคิด ทฤษฎีของ พวกเขาจะพังลงทันทีเนื่องจากจะมีช่วงยากลำบากในระหว่างมีการค้นหาทางออก  เมื่อค้นหาพบก็ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาเรื่องการทำให้พอเพียง  ในช่วงเวลายากลำบากดังกล่าวอาจจะมีชาวโลกอีกจำนวนมากต้องลำบากจากปัญหาการ ขาดแคลนทรัพยากร

ในสภาวะปัจจุบันที่รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกก็ยังไม่ได้เปลี่ยนทิศทางการบริหารประเทศ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจในกระแสหลัก  คนคิดจะถามคำถามอย่างแม่นางสุว่า  "..จะรวยไปทำไม ไม่ทราบ.." จึงเป็นคนกลุ่มน้อย  ในภาพรวมมนุษย์ยังคงมุ่งหน้าใช้ทรัพยากรอย่างเมามัวเพื่อความร่ำรวยทางการ เงินอย่างเมามัน  ทุกคนคงจินตนาการจุดจบของกระแสนี้ได้   แต่...แม่นางสุเริ่มเห็นตัวชี้วัดความร่ำรวยในมิติอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเงินแต่เพียงอย่างเดียว  ความสุขเล็กๆ จากพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของสวนริมห้วย อากาศบริสุทธิ์ สรรพสัตว์เล็กๆ และความสงบในจิตใจที่ได้รับทุกครั้งที่ไปเยือนสวนริมห้วยทำให้เกิดคำถามในใจ แม่นางสุว่า "..จะรวยไปทำไม ไม่ทราบ.."  แต่ teerapan ไม่มีคำตอบ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น