7 กุมภาพันธ์ 2557

หมู่บ้าน Ralegan Siddhi - บทเรียนเรื่องน้ำจากประเทศอินเดีย ตอนที่ 3

หากยังจำเรื่องราวของหมู่บ้าน Hiware Bazar ได้  ผมได้เกริ่นไว้ว่าแนวทางการพัฒนาหลายอย่างได้ทำตามแนวทางของหมู่บ้าน Ralegan Siddhi  โดยผู้นำการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน Ralegan Siddhi คือทหารเก่าชื่อ Anna Hazare  โดยในสมัยที่เขายังทำงานให้กับกองทัพบกของอินเดีย  เขามักจะขอลากลับมาเยี่ยมบ้านทุกๆ ปี  สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง  เนื่องจากหมู่บ้าน Ralegan Siddhi อยู่ในเขตเงาฝน มีปริมาณน้ำฝนต่อปีเพียง 400-500 มิลลิเมตร  (น้อยกว่าของหมู่บ้าน Hiware Bazar ที่มีปริมาณฝนประมาณ 600 มิลลิเมตรต่อปี  และเป็นเพียง 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ยปริมาณฝนของประเทศไทยที่ 1,498 มิลลิเมตรต่อปี)  แผ่นดินว่างเปล่าเนื่องจากไม่สามารถเพาะปลูกได้  ปริมาณฝนที่ตกในช่วงฤดูมรสุมกลายเป็นน้ำ run off ที่ถูกทิ้งไปโดยไม่มีวิธีการในการเก็บเกี่ยวน้ำเหล่านั้นไว้ใช้งานอย่างมี ประสิทธิภาพ  มีการเก็บน้ำไว้บ้างแต่ก็เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก 1 ครั้งในที่ดินประมาณ 758-885 ไร่ จากพื้นที่หมู่บ้านทั้งหมด 5,564 ไร่   80%ของครัวเรือนในหมู่บ้านมีอาหารประทังชีพเพียง 1 มื้อต่อวัน

กำลัง การผลิตอาหารของหมู่บ้านไม่เพียงพอ และไม่มีการจ้างงานในหมู่บ้าน  ชาวบ้านบางคนแอบต้มสุราเถื่อนเพื่อหาประทังชีพ  ในไม่ช้าจำนวนบ้านที่ต้มเหล้าเถื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 35 แห่ง  ชาวบ้านบางส่วนต้องเดินเท้ามากกว่าวันละ 10 - 15 กิโลเมตรทุกวันเพื่อไปหางานทำในหมู่บ้านข้างเคียง   ด้วยสภาพแวดล้อมที่กันดาร และสิ้นหวังทำให้ชาวบ้านบางคนเริ่มหนีปัญหาด้วยการดื่มสุรา  สุดท้ายกลายเป็นคนติดสุราอย่างรุนแรง  การโต้เถียงและการลงมือชกต่อยกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในหมู่บ้าน  บ้านของ Ana อยู่ใกล้ใจกลางหมู่บ้าน แต่เขาจะพยายามเดินอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการผ่านใจกลางหมู่บ้าน เนื่องจากเขาไม่ต้องการเห็นภาพที่น่าสังเวชเหล่านี้ในขณะที่ตัวเขาไม่สามารถ ทำอะไรเพื่อแก้ไขสถานะการณ์ของหมู่บ้านได้เลย

ในปี พ.ศ. 2518 Ana ตัดสินใจที่อุทิศตนเองให้กับงานเพื่อสังคม  เขาเชื่อว่างานการกุศลต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน  เขาประทับใจกับความกล่าวของ Swami Vivekananda ที่ว่า "ผู้คนจะไม่สนใจรับฟังปรัชญาหรือการทำงานเพื่อสังคมด้วยท้องที่ว่างเปล่า  การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากทุกคนยังถูกหลอกหลอนด้วย ปัญหาประจำวันในการหาเลี้ยงปากท้องของตนเอง"  Ana พยายามมองหาหนทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว  เขารำลึกถึงงานทดลองการบริหารจัดการน้ำของ Vilasrao Salumkhe ในอำเภอใกล้เคียง  เขาเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการ และค้นพบหาทางในการแก้ไขปัญหา

เขากลับไปที่หมู่บ้านของเขา และบริจาคเงิน 3,000 รูปีในการบูรณะวัดในหมู่บ้าน  เขาชักชวนให้ชาวบ้านทำการวางแผนครอบครัว ยกเลิกการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยให้เดินไปทำลายต้นไม้ต่างๆ ยกเลิกการตัดต้นไม้ และให้ทำงานอุทิศให้กับส่วนรวม  เขาไปของความช่วยเหลือจากภาครัฐ และเริ่มทำงานควบคุมการก่อสร้างโครงสร้างดักน้ำลงเก็บในดินโดยไม่ได้รับผล ตอบแทนเลย  เขาเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ายันมืดค่ำ   งานแรกที่พวกเขาทำคือการก่อสร้าง percolation tank ซึ่งถูกออกแบบมาไม่ให้เก็บน้ำอยู่  ในปีแรกกำแพงกั้นน้ำของ percolation tank ที่สร้างโดยงบของภาครัฐเกิดรั่ว  ทำให้เขาต้องเกณฑ์อาสาสมัครจากในหมู่บ้านมาช่วยกันซ่อมแซมเพื่อให้พนังของ percolation tank ไม่พังลงมา  น้ำจะได้มีเวลาซึมลงดินนานขึ้น   ในปีเดียวกันบ่อน้ำที่อยู่ต่ำกว่าระดับของ percolation tank จำนวน 7 แห่งที่เคยแห้งขอดเกิดมีน้ำขึ้นมา  สร้างความศรัทธาของชาวบ้านต่อแนวทางที่ Ana กำลังทำอยู่เพื่อบริหารจัดการน้ำ



กลุ่ม เยาวชนในหมู่บ้านถูกจัดตั้งขึ้นมา  มีการพลักดันความไม่ทัดเทียมกันในสังคม  ยกเลิกระบบสินสอด การกีดกันของระบบวรรณะ  ยกเลิกสถานที่ต้มสุราเถื่อนโดยเด็ดขาด ยกเลิกการจำหน่ายบุหรี่  เลิกการปลูกพืชที่ใช้น้ำเยอะอย่างอ้อย  และหันมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย และทนแล้งแทน  มีการจัดตั้งสภาหมู่บ้านเพื่อแก้ไขปัญหากันเองโดยไม่ต้องไปทำการฟ้องร้อง ต่อตำรวจ หรือศาล

เขาค่อยๆ ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมาร่วมกันสร้างโครงสร้างดักน้ำทีละแห่งจนสามารถ สร้าง swale ตามแนวระดับ 48 แห่ง ฝายน้ำล้น 5 แห่ง terrace แบบมีกำแพงค้ำยันอีก 16 แห่ง  จากความพยายามต่อเนื่องกันหลายปี  น้ำฝนค่อยถูกเก็บลงสะสมในพื้นดินจนในที่สุดเพิ่มระดับน้ำใต้ดิน  จากที่เคยมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 758-885 ที่สามารถปลูกพืชได้เพียงรอบเดียว  กลายเป็นมีพื้นที่เพาะปลูก 3794 ไร่ที่สามารถเพาะปลูกได้ถึงปีละ 2 รอบ

กำลังการผลิตนมในหมู่บ้าน เพิ่มขึ้นจาก 300 ลิตรมาเป็น 4,000 ลิตร มีการจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมาแปรรูปผลิตภัณฑ์นม สร้างรายได้13-15 ล้านรูปีให้กับหมู่บ้าน  รายได้ต่อหัวของชาวบ้านเพิ่มขึ้นจาก 225 รูปีมาเป็น 2,500 รูปี



ความ สำเร็จของโครงการไม่ได้มีเพียงทางด้านกายภาพอย่างโครงสร้างดักน้ำลงใต้ดิน  หรือการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ  แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากมาย เช่น การแต่งงานถูกเปลี่ยนมาเป็นการแต่งงานหมู่ (ครั้งละ 25-30 คู่) เพื่อลดค่าใช้จ่ายทั้งเจ้าภาพ และผู้มาร่วมงาน   ชาวบ้านจากคนละชั้นวรรณะอยู่อาศัยร่วมกันเหมือนเป็นญาติพี่น้อง  มีการแต่งงานข้ามชั้นวรรณะกันมากขึ้น  อาคารเรียนมูลค่ามากกว่า 2.2 ล้านรูปีของโรงเรียนในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นมาจากเงินของคนในหมู่บ้านโดยไม่ ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเลย

ในช่วงเวลานั้นยังมีหลายครอบครัวมี ปัญหาหนี้อย่างหนักจากภาวะความแห้งแล้งที่ติดต่อกันยาวนานจนธนาคารจะนำ ที่ดินออกมาขายทอดตลาด  ชาวบ้านต่างมารวมตัวกันเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยไม่รับค่าจ้าง (งานอาสาสมัคร) ต่อเนืองกันเป็นเวลา 3 ปี เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนที่ดินกลับมาเป็นของหมู่บ้าน  รวมทั้งมีการจัดตั้งองค์กร และสหกรณ์ต่างๆ จำนวนมาก



ใน วันนี้มีน้ำในหมู่บ้าน Ralegan Siddhi เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกของทุกครัวเรือน  การเกษตรของหมู่บ้านกำลังไปได้ดี  แต่คำถามคือความเจริญรุ่งเรืองในตอนนี้จะยั่งยืนในชาวบ้านรุ่นถัดไปหลังจาก Ana ไม่มีชีวิตอยู่แล้วได้หรือไม่  Ana ตอบว่า "ขบวนการในการพัฒนาของหมู่บ้าน Ralegan เพื่อให้เป็นชุมชนในอุดมคติยังถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  เมื่อกาลเวลาผ่านไปผู้คนในหมู่บ้านยังคงค้นพบหนทางใหม่ๆ ในการพัฒนา  แม้นวิธีการจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่เขาเชือว่าจิตวิญญาณของการพัฒนาได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในชาวบ้านส่วนใหญ่ แล้ว"



ยิ่งรับรู้ตัวอย่างแล้วตัวอย่างเล่าจากประเทศ อินเดีย  ทำให้เห็นพลังของการร่วมมือทำงานของคนทั้งชุมชน  เห็นความสำคัญของการพัฒนาทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมควบคู่กันไป  พวกเขาประสบความสำเร็จทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนที่คิดค้นเรื่องเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำ  แต่แค่การนำเอาความรู้จากคนอื่นไปลงมือทำกับชุมชนให้สำเร็จก็ยากมากแล้ว  เราคงยังไม่ต้องหวังเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่มากนักในช่วงนี้

การ หยิบยื่นเพียงเทคโนโลยีในการจัดการน้ำให้กับชาวบ้านอย่างเดียวแทบจะไม่มีผล เลยในทางปฏิบัติ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับความร่วมมือกันของคนทั้งชุมชน   ผมจึงเริ่มไม่แปลกใจแล้วล่ะ ที่ชาวบ้านรู้จักหญ้าแฝก แต่ไม่มีใครคิดปลูกหญ้าแฝก  คำถามตัวใหญ่ๆ คือทำอย่างไรที่จะให้พวกเขาเห็นความสำคัญของชุมชนมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ?

ทั้ง 2 ตัวอย่างประสบความสำเร็จในช่วงเวลาอันสั้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเสียสละ และทุ่มเทของผู้นำชุมชน   ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งมีส่วนอย่างมากในการชักจูงชาวบ้านให้มาทำงานพัฒนา   แต่เมื่อกลับมาย้อนดูระบบการเลือกตั้งผู้ใหญ่ในแถบบริเวณใกล้ๆ สวนฯ แล้วใจหาย  ผู้ใหญ่บ้านที่มาอาสามาลงสมัครมักจะแพ้ผู้สมัครที่ใช้เงินซื้อเสียงทุกหมู่ บ้านแบบร้อยทั้งร้อย  ถ้าชาวบ้านยังคงเป็นแบบนี้ก็คงไม่ง่ายในการที่จะพัฒนากันต่อไป  โกรธ โกรธ โกรธ

ปล. ต้นทุนในการทำให้ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแถบนี้จะประมาณ 1.5 - 2.5 แสนบาท  ส่วนตำแหน่งของกำนัน และ นายก อบต. จะสูงกว่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น