หากยังจำเรื่องราวของหมู่บ้าน Hiware Bazar ได้
ผมได้เกริ่นไว้ว่าแนวทางการพัฒนาหลายอย่างได้ทำตามแนวทางของหมู่บ้าน
Ralegan Siddhi โดยผู้นำการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน Ralegan Siddhi
คือทหารเก่าชื่อ Anna Hazare
โดยในสมัยที่เขายังทำงานให้กับกองทัพบกของอินเดีย
เขามักจะขอลากลับมาเยี่ยมบ้านทุกๆ ปี
สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหมู่บ้าน
Ralegan Siddhi อยู่ในเขตเงาฝน มีปริมาณน้ำฝนต่อปีเพียง 400-500 มิลลิเมตร
(น้อยกว่าของหมู่บ้าน Hiware Bazar ที่มีปริมาณฝนประมาณ 600
มิลลิเมตรต่อปี และเป็นเพียง 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ยปริมาณฝนของประเทศไทยที่
1,498 มิลลิเมตรต่อปี) แผ่นดินว่างเปล่าเนื่องจากไม่สามารถเพาะปลูกได้
ปริมาณฝนที่ตกในช่วงฤดูมรสุมกลายเป็นน้ำ run off
ที่ถูกทิ้งไปโดยไม่มีวิธีการในการเก็บเกี่ยวน้ำเหล่านั้นไว้ใช้งานอย่างมี
ประสิทธิภาพ มีการเก็บน้ำไว้บ้างแต่ก็เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก 1
ครั้งในที่ดินประมาณ 758-885 ไร่ จากพื้นที่หมู่บ้านทั้งหมด 5,564 ไร่
80%ของครัวเรือนในหมู่บ้านมีอาหารประทังชีพเพียง 1 มื้อต่อวัน
กำลัง
การผลิตอาหารของหมู่บ้านไม่เพียงพอ และไม่มีการจ้างงานในหมู่บ้าน
ชาวบ้านบางคนแอบต้มสุราเถื่อนเพื่อหาประทังชีพ
ในไม่ช้าจำนวนบ้านที่ต้มเหล้าเถื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 35 แห่ง
ชาวบ้านบางส่วนต้องเดินเท้ามากกว่าวันละ 10 - 15
กิโลเมตรทุกวันเพื่อไปหางานทำในหมู่บ้านข้างเคียง
ด้วยสภาพแวดล้อมที่กันดาร
และสิ้นหวังทำให้ชาวบ้านบางคนเริ่มหนีปัญหาด้วยการดื่มสุรา
สุดท้ายกลายเป็นคนติดสุราอย่างรุนแรง
การโต้เถียงและการลงมือชกต่อยกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในหมู่บ้าน
บ้านของ Ana อยู่ใกล้ใจกลางหมู่บ้าน
แต่เขาจะพยายามเดินอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการผ่านใจกลางหมู่บ้าน
เนื่องจากเขาไม่ต้องการเห็นภาพที่น่าสังเวชเหล่านี้ในขณะที่ตัวเขาไม่สามารถ
ทำอะไรเพื่อแก้ไขสถานะการณ์ของหมู่บ้านได้เลย
ในปี พ.ศ. 2518 Ana
ตัดสินใจที่อุทิศตนเองให้กับงานเพื่อสังคม
เขาเชื่อว่างานการกุศลต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน เขาประทับใจกับความกล่าวของ
Swami Vivekananda ที่ว่า
"ผู้คนจะไม่สนใจรับฟังปรัชญาหรือการทำงานเพื่อสังคมด้วยท้องที่ว่างเปล่า
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากทุกคนยังถูกหลอกหลอนด้วย
ปัญหาประจำวันในการหาเลี้ยงปากท้องของตนเอง" Ana
พยายามมองหาหนทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เขารำลึกถึงงานทดลองการบริหารจัดการน้ำของ Vilasrao Salumkhe
ในอำเภอใกล้เคียง เขาเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการ
และค้นพบหาทางในการแก้ไขปัญหา
เขากลับไปที่หมู่บ้านของเขา
และบริจาคเงิน 3,000 รูปีในการบูรณะวัดในหมู่บ้าน
เขาชักชวนให้ชาวบ้านทำการวางแผนครอบครัว
ยกเลิกการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยให้เดินไปทำลายต้นไม้ต่างๆ ยกเลิกการตัดต้นไม้
และให้ทำงานอุทิศให้กับส่วนรวม เขาไปของความช่วยเหลือจากภาครัฐ
และเริ่มทำงานควบคุมการก่อสร้างโครงสร้างดักน้ำลงเก็บในดินโดยไม่ได้รับผล
ตอบแทนเลย เขาเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ายันมืดค่ำ
งานแรกที่พวกเขาทำคือการก่อสร้าง percolation tank
ซึ่งถูกออกแบบมาไม่ให้เก็บน้ำอยู่ ในปีแรกกำแพงกั้นน้ำของ percolation
tank ที่สร้างโดยงบของภาครัฐเกิดรั่ว
ทำให้เขาต้องเกณฑ์อาสาสมัครจากในหมู่บ้านมาช่วยกันซ่อมแซมเพื่อให้พนังของ
percolation tank ไม่พังลงมา น้ำจะได้มีเวลาซึมลงดินนานขึ้น
ในปีเดียวกันบ่อน้ำที่อยู่ต่ำกว่าระดับของ percolation tank จำนวน 7
แห่งที่เคยแห้งขอดเกิดมีน้ำขึ้นมา สร้างความศรัทธาของชาวบ้านต่อแนวทางที่
Ana กำลังทำอยู่เพื่อบริหารจัดการน้ำ
กลุ่ม
เยาวชนในหมู่บ้านถูกจัดตั้งขึ้นมา มีการพลักดันความไม่ทัดเทียมกันในสังคม
ยกเลิกระบบสินสอด การกีดกันของระบบวรรณะ
ยกเลิกสถานที่ต้มสุราเถื่อนโดยเด็ดขาด ยกเลิกการจำหน่ายบุหรี่
เลิกการปลูกพืชที่ใช้น้ำเยอะอย่างอ้อย และหันมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย
และทนแล้งแทน
มีการจัดตั้งสภาหมู่บ้านเพื่อแก้ไขปัญหากันเองโดยไม่ต้องไปทำการฟ้องร้อง
ต่อตำรวจ หรือศาล
เขาค่อยๆ
ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมาร่วมกันสร้างโครงสร้างดักน้ำทีละแห่งจนสามารถ
สร้าง swale ตามแนวระดับ 48 แห่ง ฝายน้ำล้น 5 แห่ง terrace
แบบมีกำแพงค้ำยันอีก 16 แห่ง จากความพยายามต่อเนื่องกันหลายปี
น้ำฝนค่อยถูกเก็บลงสะสมในพื้นดินจนในที่สุดเพิ่มระดับน้ำใต้ดิน
จากที่เคยมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 758-885
ที่สามารถปลูกพืชได้เพียงรอบเดียว กลายเป็นมีพื้นที่เพาะปลูก 3794
ไร่ที่สามารถเพาะปลูกได้ถึงปีละ 2 รอบ
กำลังการผลิตนมในหมู่บ้าน
เพิ่มขึ้นจาก 300 ลิตรมาเป็น 4,000 ลิตร
มีการจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมาแปรรูปผลิตภัณฑ์นม สร้างรายได้13-15
ล้านรูปีให้กับหมู่บ้าน รายได้ต่อหัวของชาวบ้านเพิ่มขึ้นจาก 225
รูปีมาเป็น 2,500 รูปี
ความ
สำเร็จของโครงการไม่ได้มีเพียงทางด้านกายภาพอย่างโครงสร้างดักน้ำลงใต้ดิน
หรือการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากมาย เช่น
การแต่งงานถูกเปลี่ยนมาเป็นการแต่งงานหมู่ (ครั้งละ 25-30 คู่)
เพื่อลดค่าใช้จ่ายทั้งเจ้าภาพ และผู้มาร่วมงาน
ชาวบ้านจากคนละชั้นวรรณะอยู่อาศัยร่วมกันเหมือนเป็นญาติพี่น้อง
มีการแต่งงานข้ามชั้นวรรณะกันมากขึ้น อาคารเรียนมูลค่ามากกว่า 2.2
ล้านรูปีของโรงเรียนในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นมาจากเงินของคนในหมู่บ้านโดยไม่
ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเลย
ในช่วงเวลานั้นยังมีหลายครอบครัวมี
ปัญหาหนี้อย่างหนักจากภาวะความแห้งแล้งที่ติดต่อกันยาวนานจนธนาคารจะนำ
ที่ดินออกมาขายทอดตลาด ชาวบ้านต่างมารวมตัวกันเพาะปลูก
และเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยไม่รับค่าจ้าง (งานอาสาสมัคร) ต่อเนืองกันเป็นเวลา 3
ปี เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนที่ดินกลับมาเป็นของหมู่บ้าน
รวมทั้งมีการจัดตั้งองค์กร และสหกรณ์ต่างๆ จำนวนมาก
ใน
วันนี้มีน้ำในหมู่บ้าน Ralegan Siddhi
เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกของทุกครัวเรือน การเกษตรของหมู่บ้านกำลังไปได้ดี
แต่คำถามคือความเจริญรุ่งเรืองในตอนนี้จะยั่งยืนในชาวบ้านรุ่นถัดไปหลังจาก
Ana ไม่มีชีวิตอยู่แล้วได้หรือไม่ Ana ตอบว่า
"ขบวนการในการพัฒนาของหมู่บ้าน Ralegan
เพื่อให้เป็นชุมชนในอุดมคติยังถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เมื่อกาลเวลาผ่านไปผู้คนในหมู่บ้านยังคงค้นพบหนทางใหม่ๆ ในการพัฒนา
แม้นวิธีการจะมีการเปลี่ยนแปลง
แต่เขาเชือว่าจิตวิญญาณของการพัฒนาได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในชาวบ้านส่วนใหญ่
แล้ว"
ยิ่งรับรู้ตัวอย่างแล้วตัวอย่างเล่าจากประเทศ
อินเดีย ทำให้เห็นพลังของการร่วมมือทำงานของคนทั้งชุมชน
เห็นความสำคัญของการพัฒนาทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ
และสังคมควบคู่กันไป พวกเขาประสบความสำเร็จทั้งๆ
ที่ไม่ใช่คนที่คิดค้นเรื่องเทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำ
แต่แค่การนำเอาความรู้จากคนอื่นไปลงมือทำกับชุมชนให้สำเร็จก็ยากมากแล้ว
เราคงยังไม่ต้องหวังเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่มากนักในช่วงนี้
การ
หยิบยื่นเพียงเทคโนโลยีในการจัดการน้ำให้กับชาวบ้านอย่างเดียวแทบจะไม่มีผล
เลยในทางปฏิบัติ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับความร่วมมือกันของคนทั้งชุมชน
ผมจึงเริ่มไม่แปลกใจแล้วล่ะ ที่ชาวบ้านรู้จักหญ้าแฝก
แต่ไม่มีใครคิดปลูกหญ้าแฝก คำถามตัวใหญ่ๆ
คือทำอย่างไรที่จะให้พวกเขาเห็นความสำคัญของชุมชนมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
?
ทั้ง 2 ตัวอย่างประสบความสำเร็จในช่วงเวลาอันสั้น
ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเสียสละ และทุ่มเทของผู้นำชุมชน
ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งมีส่วนอย่างมากในการชักจูงชาวบ้านให้มาทำงานพัฒนา
แต่เมื่อกลับมาย้อนดูระบบการเลือกตั้งผู้ใหญ่ในแถบบริเวณใกล้ๆ สวนฯ
แล้วใจหาย
ผู้ใหญ่บ้านที่มาอาสามาลงสมัครมักจะแพ้ผู้สมัครที่ใช้เงินซื้อเสียงทุกหมู่
บ้านแบบร้อยทั้งร้อย
ถ้าชาวบ้านยังคงเป็นแบบนี้ก็คงไม่ง่ายในการที่จะพัฒนากันต่อไป
ปล. ต้นทุนในการทำให้ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแถบนี้จะประมาณ 1.5 - 2.5 แสนบาท ส่วนตำแหน่งของกำนัน และ นายก อบต. จะสูงกว่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น