ขออนุญาต
ย้อนกลับไปดูข้อมูลเรื่องปริมาณการระเหยของน้ำที่ผิวน้ำโดยเฉลี่ยในประเทศ
ไทยพบว่าสูงถึง 110-150 มิลลิเมตรต่อเดือน หรือมากกว่า 1,320
มิลลิเมตรต่อปี
ดังนั้นจึงไม่แน่ประหลาดใจที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีปริมาณน้ำฝนต่อ
ปีน้อยกว่า 1,300 มิลลิเมตรต่อปีจะมีปัญหาน้ำแห้งบ่อเป็นส่วนใหญ่
คนที่ทำการเกษตรในพื้นที่ลุ่ม และโชคดีก็จะขุดเจอตาน้ำ
ทำให้น้ำในสระถูกเติมเต็มด้วยน้ำใต้ดินที่ไหลมาจากที่อื่น
คนที่โชคไม่ดีเท่า หรืออยู่บนที่ดอนก็จะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการขุดน้ำบ่อ
หรือน้ำบาดาลมาใช้งาน
การที่เรานำเอาน้ำใต้ดินที่มีอัตราการระเหยน้ำ
มากๆ มาใช้งานที่ผิวดินซึ่งมีอัตราการระเหยมากทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล
เนื่องจากเราเอาน้ำมาใช้เร็วกว่าที่ธรรมชาติจะเติมเต็มน้ำลงใต้ดิน
อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทำให้ระดับน้ำใต้ดินต่ำลงเรื่อยๆ
เราต้องใช้กำลังสูบมากขึ้น ขุดบ่อให้ลึกขึ้น
ในขณะที่ต้นไม้แย่ลงเนื่องจากระดับน้ำใต้ดินที่เคยเป็นแหล่งน้ำของต้นไม้
ใหญ่ถูกแย่งไปใช้งาน
ดังนั้นในพื้นที่ที่แห้งแล้งมากๆ
จึงควรหลีกเลี่ยงการขุดสระ แต่ให้ใช้วิธีการดักน้ำ Run off
ในช่วงหน้าฝนให้ได้มากที่สุด และนำน้ำลงไปเก็บใต้ดินให้ได้เร็วที่สุด
เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำออกไปนอกพื้นที่
ในหน้าแล้งจึงใช้วิธีสูบน้ำใต้ดินจากบ่อกลับมาใช้งาน
หัวใจสำคัญของการใช้น้ำใต้ดินอย่างยั่งยืนคือเราจะต้องช่วยธรรมชาติในการ
เติมเต็มน้ำลงใต้ดินในช่วงฤดูฝน
เพื่อให้สมดุลกับการนำน้ำใต้ดินมาใช้งานของเราในหน้าแล้ง
ในบทนี้เราจึงจะมากล่าวถึงโครงสร้างเติมน้ำใต้ดิน (Water Recharge
Structure)
Water Recharge Structure มีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่เราต้องการเติมน้ำมีหลากหลายชื่อ เช่น
A. Surface Basin
เป็นหลักการง่ายๆ โดยการสร้างเนินดิน เพื่อกันไม่ให้น้ำ Run off
ไหลออกไปเร็ว ทำให้น้ำมีเวลาซึมลงใต้ผิวดินมากขึ้น
แต่โครงสร้างแบบนี้ไม่แข็งแรง เมื่อมีปริมาณน้ำฝนมากๆ
แรงดันน้ำจะกัดเซาะเนินดินออกไปได้
B. Excavated Basin
ซึ่งเหมือนกับหลักการทำ Sunken Basin
สำหรับปลูกพืชที่เรากล่าวถึงในกระบวนท่าที่ 1 คือการขุดดินให้ลึกลงไป 5-15
ซม. เพื่อให้โครงสร้างแข็งแรงกว่าแบบ surface basin ทำให้รองรับน้ำ Run off
ได้มากกว่าแบบ surface basin
แต่น้ำที่้ซึมก็ยังอยู่ใกล้ผิวดินเป็นส่วนใหญ่
C. Trench
เป็นขุดร่องให้ลึก 50 - 150 ซม. เพื่อให้มีพื้นที่ดักน้ำ Runoff
ได้มากขึ้น หากไม่ได้ใส่อะไรในร่องก็จะคล้ายๆ กับที่เราทำ Swale
ในกระบวนท่าที่ 4
ถ้าใส่หินลงไปเพื่อชะลอการทับถมของดินจากบริเวณปากของร่องก็จะคล้าย French
Drain ที่กล่าวถึงในกระบวนท่าที่ 6 การทำ trench
แบบนี้ทำให้ดักน้ำได้มากขึ้น และส่งน้ำลงไปใต้ดินได้ลึกขึ้น
D. Vadose Zone Well (บ่อน้ำ) เป็นการขุดช่องลงไปถึงระดับน้ำบ่อเพื่อเติมน้ำลงไปที่ระดับน้ำบ่อ
E. Aquifer Well (บ่อน้ำบาดาล) เป็นการขุดลงไปจนถึงระดับน้ำบาดาล เพื่อเติมน้ำในระดับน้ำบาดาล
หาก
พิจารณาจะเห็นว่าในกระบวนท่าต้นๆ
ที่เราผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินทั้ง
สิ้น ในบทนี้เราจึงจะมาลงรายละเอียดเฉพาะเรื่องการเติมน้ำใต้ในแบบ C, D
และ E เท่านั้น
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=79810.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น