6 กุมภาพันธ์ 2557

หมู่บ้าน Hiware Bazar - บทเรียนเรื่องน้ำจากประเทศอินเดีย ตอนที่ 2

ปัญหาเรื่องน้ำกำลังกลายเป็นปัญหาหลักที่ท้าทาย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศอินเดีย   ปริมาณน้ำฝนต่อปีของประเทศอินเดียอาจจะดูเหมือนไม่ขาดแคลน  แต่คล้ายๆ กับประเทศไทยคือฝนในประเทศอินเดียมักจจะตกในช่วงเวลาสั้นๆ ในฤดูมรสุมเท่านั้น   และช่วงเวลาของมรสุมดูเหมือนว่าจะสั้นลงเรื่อยๆ   เหมือนที่เพื่อนๆ ในเวปเกษตรพอเพียงกำลังประสบคือจำนวนเดือนที่ฝนไม่ตกเลยติดต่อกันจะเป็นช่วง เวลาที่นานขึ้นเรื่อยๆ บางคนอาจจะเจอปัญหาว่าฝนไม่ตกต่อเนื่องกันนานกว่า 6 เดือน  เวลาฝนตกก็ตกหนักมากจนบางครั้งอาจจะเจอปัญหาน้ำท่วม  (ลองสังเกตุทุ่งกุลาร้องไห้ที่เจอทั้งปัญหาภัยแล้ง และปัญหาน้ำท่วมในปีเดียวกันเป็นตัวอย่าง)

สภาพอากาศที่ขึ้นกับ มรสุม การบริหารจัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และแรงกดดันอื่นจากฝีมือมนุษย์ (ด้วยเหตุของสิ่งที่เรียกว่าความเจริญ) ทำให้เกษตรกร  ครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรมต่างก็พึ่งพาการใช้น้ำใต้ดินมากกว่าน้ำผิวดินในแม่น้ำ คลองชลประทาน และสระน้ำ   แต่แนวโน้มการใช้น้ำใต้ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี่เองที่ทำให้เกิดปัญหา ที่แย่ลงเรื่อยๆ ของระดับน้ำใต้ดิน

ผลจากความไร้ประสิทธิภาพของระบบ ชลประทานของน้ำผิวดินอย่างคลองชลประทาน ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอ จึงมีการใช้น้ำใต้ดินอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำใต้ดินถูกใช้มากถึง 65% ของระบบชลประทาน และ 85% ของแหล่งน้ำเพื่อการบริโภค  เนื่องจากไม่มีการเติมเต็มน้ำใต้ดินทำให้เกิดปัญหาอย่างหนักในปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมาที่มีปริมาณฝนในช่วงมรสุมน้อยกว่าปกติ  ระดับใต้ดินลงจนกระทั่งบ่อน้ำ และบ่อน้ำบาดาลในหลายพื้นที่ไม่มีน้ำให้สูบ  ประชาชนเดือดร้อยอย่างหนักเหมือนปัญหาภัยแล้งครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2552   จากผลการสำรวจพบว่าระดับน้ำใต้ดินของหลายแห่งทั่วทั้งอินเดียลดลงมากกว่า 4 เมตรต่อปี

ปัญหาเรื่องน้ำของประเทศอินเดียเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง  ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 มีการ "ปฏิวัติเขียว" ซึ่งทำให้ต้องใช้น้ำ ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก  แหล่งน้ำผิวดินในช่วงต้นยังพอมีให้ใช้แต่ไม่ปลอดภัยสำหรับการอุปโภคบริโภค เนื่องจากขยะจากมนุษย์ และการปนเปื้อนจากสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรสมัยใหม่   ระบบน้ำประปาไร้ประสิทธิภาพ และเชื่อถือไม่ได้ในภูมิภาค  มีปริมาณน้ำประปาสูญเสียจากการรั่วซึมมากถึง 40% ในกรุงนิวเดลี  ทางเลือกที่ประหยัดกว่าในระยะยาวคือการขุดน้ำบาดาล  แต่ค่าขุดน้ำบาดาลมีราคาค่อนข้างสูง  ประชาชนที่ยากจนจำนวนมากไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะจ่ายค่าขุด   การซื้อน้ำที่มีราคาแพงจากรถขนน้ำจึงเป็นทางเลือกเดียวสำหรับหลายๆ ครัวเรือน

เพื่อเอาใจประชาชนส่วนให้ที่มีรายได้น้อยในภูมิภาคนักการ เมืองออกหลักเกณฑ์ที่ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี หรือช่วยสนับสนุนค่าไฟฟ้าให้มีราคาถูกกว่าปกติสำหรับเกษตรกร (ฟังดูคุ้นๆ จัง) ทำให้ต้นทุนของการสูบน้ำต่ำกว่าที่ควรจะเป็น  แม้นว่าเกษตรกรจะเผชิญปัญหาระดับน้ำใต้ดินที่ต่ำลงและต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ในสูบมากขึ้นก็ยังไม่ค่อยเป็นประเด็นสำหรับพวกเขาเนื่องจากราคาค่าไฟฟ้า ถูกกว่าปกติ

การเติบโตของสังคมเมือง และช่องว่างของรายได้  ทำให้มีการเติบโตของประชากรที่ร่ำรวยในสังคมเมืองมากขึ้น  พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มากขึ้น  ทำให้ต้องปลูกพืชมากขึ้น (และใช้น้ำมากขึ้น) เพื่อเลี้ยงประชากรในสังคมเมือง  มีการประมาณการว่าจะความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี พ.ศ. 2573  ปัญหาจะรุนแรงมากขึ้นนอกจากว่าจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

การ ใช้งานน้ำใต้ดินอย่างไม่ยั่งยืน (มีการสูบน้ำมาใช้มากกว่าการเติมน้ำ) นอกจากจะทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดลงอย่างต่อเนื่องยังก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ด้วย  การสูบน้ำใต้ดินในระดับที่ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ พบว่ามีปริมาณสารหนู สารฟลูออไรด์ และสารพิษอื่นๆ ปนเปื้อนอยู่ในระดับที่สูงมากขึ้น   ส่งผลกระทบกับสุขภาพของคนที่มีรายได้น้อยที่ไม่มีทางเลือกอื่นในการหาน้ำ บริโภค (ต้องใช้น้ำใต้ดินในการบริโภค)   ในบางแหล่งน้ำใต้ดินมีเกลือปนเปื้อนอยู่การสูบขึ้นมาใช้ในการเกษตร  ก่อให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนของเกลือที่ผิวดิน  ทำให้ดินเค็มทำการเกษตรไม่ได้ผลอีกต่อไป

ระดับน้ำใต้ดินที่ต่ำลง ยยังทำให้เกิดการซึมของน้ำจากผิวดินซึ่งปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีมากขึ้น   หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่ามีการซึมของน้ำจากระบบส้วม ระบบน้ำถึง รวมถึงสารเคมีจากการเกษตรลงไปในแหล่งน้ำใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง   ในพื้นที่ใกล้ทะเลก็พบการแทรกซึมของน้ำเค็มจากทะเลเข้ามาแทนที่น้ำจืดใต้ดิน ที่ถูกดึงไปใช้งาน

ปัญหาการหมดไปของน้ำใต้ดินกำลังเป็นปัญหาวิกฤตที่ ยากในการแก้ไข  เนื่องจากเป็นการยากที่จะให้ทุกๆ คนลดการใช้น้ำใต้ดินลงเพื่อให้ปริมาณการใช้น้ำรวมทั้งชุมชนลดลง  สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมากกว่าคือต่างคนต่างจะสูบน้ำใต้ดินออกมาให้มากที่สุด ในระหว่างที่ยังสามารถทำได้ซึ่งสุดท้ายแล้วจะทำให้ทุกๆ คนแย่ลงกว่าการพยายามร่วมมือกันลดการใช้น้ำ  เราอาจจะสามารถทำให้คนในหมู่บ้านเดียวกันมาร่วมมือกันลดการใช้น้ำได้  แต่แหล่งน้ำใต้ดินเดียวกันอาจจะเชื่อมต่อหลายหมู่บ้าน หลายตำบล หรือแม้นแต่หลายอำเภอ   แต่การที่เราจะได้รับความร่วมมือลดการใช้น้ำของทุกครัวเรือนของทั้งจังหวัด คงจะเป็นเรื่องยากมากๆ

ดังนั้นในการแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วม มือกันของคนทั้งชุมชน  ตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหาน้ำของหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Hiware Bazar ซึ่งอยู่ในเขตเงาฝน ในอำเภอ Ahmednagar ของจังหวัด Maharashtra ของประเทศอินเดีย หมู่บ้านแห่งนี้มีฝนตกประมาณ 600 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งคิดเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในประเทศไทย  หรือเพียง 1 ใน 6 ของปริมาณน้ำฝนที่ตกที่จังหวัดตราด หรือระนอง



หมู่ บ้าน Hiware Bazar ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงในปี พ.ศ. 2515 ทำให้มีปัญหาขาดแคลนน้ำ  ปัญหาอาชญกรรมที่เพิ่มขึ้น  และมีการอพยพออกจากหมู่บ้านไปหางานทำในเมืองเป็นจำนวนมาก  ชาวบ้านส่วนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านหันมาต้มสุราเถื่อนขายเพื่อหารายได้ที่ สูงขึ้นแต่มิได้ทำให้สถานะการณ์ดีขึ้น สภาพสังคมกลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ   จนกระทั่งนาย Popatrao Baguji Pawar นักศึกษาจบปริญญาเพียงคนเดียวของหมู่บ้านที่ปฏิเสธการเข้าไปทำงานในเมือง ใหญ่  เขาเลือกที่จะอยู่พัฒนาหมู่บ้านของเขา  เขาได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านในปี พ.ศ. 2533  ท่ามกลางการคัดค้านของญาติพี่น้องที่ต่างก็ต้องการให้เขาไปทำงานในเมือง เพื่อชีวิตที่ดีกว่า  หลังจากที่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านเขาได้ขออนุมัติงบในการปรับปรุงทรัพยากร ธรรมชาติตามแบบอย่างของหมู่บ้าน Ralegan Siddhi ซึ่งประสบปัญหาอย่างเดียวกันแต่ห่างไป 35 กิโลเมตร  เขาใช้งบของภาครัฐและอาศัยแรงงานจากชาวบ้านร่วมกันปรับปรุงหมู่บ้าน

Pawar ได้เรียกร้องลูกบ้านให้ร่วมกันในการลดการใช้น้ำ  ระบบน้ำหยดถูกนำมาใช้งานแทนการให้น้ำแบบเดิมๆ  มีการหลีกเลี่ยงการปลูกพืชที่ใช้น้ำเยอะอย่างอ้อย และกล้วย   มีการขุด swale และโครงสร้างเติมน้ำใต้ดินที่เรียกว่า percolation tank กว่า 52 แห่ง  สร้าง terrace แบบมีกำแพงค้ำยันเป็นหิน 32 แห่ง และสร้างฝายน้ำล้น (ฝายแม้ว) 9 แห่ง บนภูเขา และชายเขาของหมู่บ้าน  เพื่อดักน้ำฝนลงใต้ดิน  รวมทั้งการอาสาร่วมกันปลูกป่าของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน

ชาวบ้านร่วมกันสร้าง swale และปลูกต้นไม้


การวางเรียงหินตามแนวระดับเพื่อสร้าง terrace ที่ชะลอน้ำ


การสร้าง Checkdam (ฝายน้ำล้น) และ percolation tank





หมายเหตุ percolation tank จะคล้ายกับสระน้ำ หรือเขื่อนขนาดเล็ก เพื่อดักน้ำที่ไหลมาจำนวนมาในฤดูฝน  แต่จะต่างกับสระน้ำทั่วไปตรงที่เขาจะไม่ได้พยายามให้มันเก็บน้ำอยู่  แต่ต้องการเพียงชะลอน้ำ และให้น้ำซึมลงใต้ดินให้มากที่สุด  ในฤดูแล้งทุกๆ ปี ชาวบ้านมาช่วยกันขุดลอกเอาตะกอนโคลนที่อยู่ที่ก้นสระออกให้ถึงชั้นหินเพื่อ ใหน้ำซึมลงใต้ดินมากที่สุด



การ เปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอีกหลายอย่างไม่ว่าจะ เป็นการห้ามตัดต้นไม้โดยเด็ดขาด ห้ามการเลี้ยงวัวในบริเวณป่าฟื้นฟู  การคุมกำเนิด  การตรวจโรคเอดส์ก่อนการแต่งงาน การส่งเสริมงานอาสาสมัครของชุมชน การให้ความสำคัญกับการศึกษา การห้ามขายที่ดินให้กับคนนอกหมู่บ้าน การจัดตั้งกลุ่มแม่บ้าน การขอร้องให้ใช้น้ำบาดาลเฉพาะการอุปโภคบริโภค (ไม่ให้นำมาใช้ในการเกษตร) เป็นต้น

การจัดการเรื่องน้ำควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเหล่านี้ ก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก จนกระทั่งหมู่บ้าน Hiware Bazar ถูกจัดให้เป็น "หมู่บ้านอุดมคติ" โดยจังหวัด Maharashtra  และได้รับรางวัล "National Water Award" จากรัฐบาลอินเดียในปี พ.ศ. 2550

จาก ตอนเริ่มต้นโครงการในปี พ.ศ. 2533 หมู่บ้าน Hiware Bazar มีพื้นดินที่เพาะปลูกได้ในหมู่บ้านเพียง 1 ใน 10 และชาวบ้าน 168 ครัวเรือนจากทั้งหมด 182 ครัวเรือนอยู่ในระดับยากจน  ในปี พ.ศ. 2553 รายได้เฉลี่ยของคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น 20 เท่า  มี 50 ครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านรูปี (ประมาณ 5 แสนบาท)  และเหลือครอบครัวที่ยังยากจนเพียง 3 ครอบครัว   ชาวบ้านสามารถเก็บเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงวัวเพิ่มขึ้นจาก 100 ตัน มาเป็น 6,000 ตัน  กำลังการผลิตน้ำวัวเพิ่มขึ้นจาก 150 ลิตรต่อวัว มาเป็น 4,000 ลิตรต่อวัน  ชาวบ้านให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น มีชาวบ้านจำนวน 18 ครอบครัวอุทิศที่ดินเพื่อจัดสร้างอาคารเรียนและสนามเด็กเล่นของโรงเรียน  อัตราการอ่านออกเขียนได้เพิ่มจาก 30% เป็น 95%  มีหลายครอบครัวย้ายกลับจากในเมืองเพื่อกลับมาทำงานในหมู่บ้าน

ก่อน จะมาเป็นความสำเร็จในปัจจุบัน Pawar  ต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก  ตอนต้นๆ เขาปลูกต้นไม้และล้อมรั้วไว้  รั้วโดนชาวบ้านตัดไปทำฟืน และปล่อยวัวเข้ามากินต้นไม้ที่ยังเล็กอยู่   ชาวบ้านต่างพยายามใช้น้ำเสมอหนึ่งกับเป็นทรัพยาการส่วนตัว  ไม่ห่วงความเดือดร้อนของคนอื่น  การความพยายามในการเปลี่ยนแปลงชาวบ้านมายาวนาน  ปัจจุบันหมู่บ้านของเขามีการช่วยกันตรวจสอบระดับน้ำ และปริมาณน้ำฝนเป็นประจำ  ข้อมูลถูกนำมารวบรวมและวางแผนการใช้น้ำร่วมกันทั้งหมู่บ้าน กลายเป็นกฎง่ายๆ ดังนี้
- ถ้าฝนตกน้อยกว่า 100 มิลลิเมตรให้งดเว้นการเพาะปลูกข้าว ยอมให้เพาะปลูกพืชสวนครัวเท่านั้น
- ถ้าฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตร จะมีน้ำพอสำหรับการดื่ม และการปลูกพืชเพียงรอบเดียว
- ถ้าฝนตกมากกว่า 200 มิลลิเมตร จะมีน้ำพอสำหรับการดื่ม และการปลูกพืชเต็มพื้นที่เพียงรอบเดียว + การปลูกเพียงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ 2 รอบ
- ถ้าฝนตกมากกว่า 300 มิลลิเมตร จะมีน้ำพอสำหรับการดื่ม และการปลูกพืชเต็มพื้นที่สามรอบเดียว
หมายเหตุ ฝนประเทศไทยตกเฉลี่ยประมาณ 1,498 มิลลิเมตรต่อปี ของจังหวัดเพชรบุรีจะอยู่ที่ 1,044.1  มิลลิเมตรต่อปี

ฟังเรื่องราวของหมู่บ้าน Hiware Bazar แล้วไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างเริ่มต้นมาจากการเก็บน้ำลงใต้ดิน   ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มเท่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น