ท่านมรรนพ:
ทิด..ทิดคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นที่พลังานน้ำมันหมดจริงๆแล้ว หากให้มีการเลือก หนึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์(หรือพลังงานจากแหล่งอื่นๆ)ที่จะมาขับเคลื่อนระบบแทนน้ำมัน หรือสองเลือกที่จะค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสภาพแบบที่ทิดว่าให้ค่อยๆชิน ในสังคมที่คัลเจอร์มันค่อนข้างจะเพอมาแนนซ์แบบนี้ซะแล้ว(ยืมคำของคุณธีระพันธ์มากลับซะหน่อย) ทิดว่าใครจะเลือกอะไรมั่ง?
ไม่แน่น๊ะครับ ตอนนี้แหล่งกำเนิดพลังงานรูปแบบใหม่อาจมีแล้ว แต่ยังไม่คุ้มที่จะลงทุนหรือสังคมยังไม่ยอมรับ เลยยังไม่โชว์ที่พอจะโชว์ให้เห็นได้ตอนนี้ก็บนดาวอังคารครับ ไม่รู้หม้อพลังงานแบบไหน หม้อเล็กๆเห็นจากข่าวว่าจะใช้ไปได้อีกนาน...
ส่วนรูปแบบสังคมแบบเพอร์มาคัลเจอร์แบบที่คุณธีระพันธ์ทดลองอยู่ โดยส่วนตัวผมเห็นว่าก็จะยังพัฒนาควบคู่อยู่ร่วมไปกับสังคมรูปแบบอื่นๆไปต่อครับ....
ท่านเจมส์ :
ท่านมหรรนพครับ ก่อนที่น้ำมันจะหมดไป มนุษย์จะต้องค้นหาพลังงานมาทดแทนอย่างแน่นอนในสภาวะที่ค้นหานั้นก็จะควบคู่ไปกับการวิกฤต อย่างที่คุณธีรพันธ์ได้กล่าวไว้ เหตุเพราะเครื่องจักรครื่องยนต์ที่เรามีนั้นต่างออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมันเป็นหลัก การที่จะสับเปลี่ยนไปใช้พลังงานในรูปแบบอื่นๆ คงไม่สามารถทำได้ในระยะอันสั้น หรือมีไม่เพียงพอ ในส่วนของพลังงานไฟฟ้านิวเครียร์นั้น น่าจะเป็นทางเลือกหลังๆ พลังงานสะอาดอื่นๆดูเหมือนจะเป็นทางเลือกก่อน
ข้าพเจ้า :
ช้าก่อนท่านมหรรนพ และท่านเจมส์ ก่อนจะด่วนสรุปเรามาดูสถิติเรื่องพลังงานจากเวป www.nationmaster.com กันก่อนดีกว่า
เรา
จะพบว่าในเรื่องการใช้พลังงานต่อคนนั้น
ไทยยังเป็นรองประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย
แต่ก็ใช้พลังงานมากกว่าประเทศอื่นรอบๆประเทศไทยทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือการนำเข้าพลังงานสุทธิ ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ
ไทยมีอัตราการนำเข้าพลังงานติดลบ นั่นหมายถึงพวกเขาส่งออกพลังงาน เช่น
มาเลเซียส่งออกน้ำมัน เวียดนามและอินโดนีเซียส่งออกถ่านหิน
พม่าส่งออกก๊าซธรรมชาติ ลาวส่งออกไฟฟ้า และประเทศไทยก็เป็น 1
ในลูกค้าชั้นดีของเพื่อนบ้านเหล่านี้ เพราะเรานำเข้าพลังงานมากถึง 48.39%
ของพลังงานที่เราใช้ในประเทศไทยทั้งหมด
หากมองในเรื่องการนำเข้า
พลังงานนั้น เราดูเหมือนจะคล้ายๆ กับประเทศคิวบา
ซึ่งก็มีนักมวยเก่งเหมือนประเทศไทย :-D
คิวบาก็ไม่มีแหล่งพลังงานในประเทศมากนักดูได้จากแหล่งพลังงานในการผลิตกระแส
ไฟฟ้า คิวบาก็ใช้พลังงานฟอสซิสในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกิน 90%
เหมือนประเทศไทย ทำให้เขามีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงานของโลก
แต่หลังจากช่วง special period
ประเทศคิวบาพยายามลดการใช้พลังงานต่อประชากรเหลือเพียง 62%
ของอัตราการใช้พลังงานประชากรในประเทศไทย
ทำให้เขามีผลกระทบจากเรื่องพลังงานน้อยลง
เพื่อนบ้านของเรา
(ยกเว้นพม่า และเวียดนาม)
ก็มีการใช้พลังงานฟอสซิลในการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่มากว่า 80%
แต่....พวกเขามีแหล่งพลังงานในประเทศมากพอที่จะส่งออกด้วยซ้ำไป
แต่..เราต้องนำเข้าพลังงานมาบริโภคในประเทศ
ประเทศที่น่าสนใจมากใน
มุมมองของผมคือประเทศบราซิล
เนื่องจากมีอัตราการบริโภคพลังงานต่อประชากรใกล้เคียงประเทศไทย
แต่มีอัตราการนำเข้าพลังงานน้อยกว่าเราครึ่งหนึ่ง
พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบราซิลผลิตจากพลังงานน้ำ
และมีการใช้พลังงานฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ
แต่บราซิลก็ยังต้องนำเข้าพลังงานน้ำมัน
ชาวบราซิลตระหนักดีถึงความเสี่ยงของประเทศเขาจึงใช้ข้อได้เปรียบเรื่อง
ปริมาณน้ำฝนมาใช้ในการผลิตพืชเพื่อนำมาใช้ผลิตพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบของ
แก๊สโซฮอล์ พร้อมทั้งบังคับให้รถยนต์ค่ายใหญ่ๆ
ผลิตรถยนต์ที่ต้องสามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของแก๊สโซฮอล์สูงกว่าในประเทศ
ไทยเป็นอย่างมาก
เพื่อนๆ อาจจะคิดว่าเราก็ copy แบบบราซิลสิ
ไม่เห็นจะยาก
แต่อย่าลืมว่ามีตัวอย่างเรื่องการผลิตแก๊สโซฮอล์ในทวีปอเมริกามาแล้ว
เนื่องจากคนในทวีปอเมริกาทานอาหารที่ทำมาจากข้าวโพดเป็นหลัก
เมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริการรณรงค์ให้มีการผลิตแก๊สโซฮอล์จากข้าวโพด
ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนข้าวโพด ราคาอาหารส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากข้าวโพดได้ถูกใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจำนวนมาก
รวมทั้งถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ด้วย
การหันมาปลูกข้าวโพดจำนวนมากก็จะทำให้เหลือน้ำชลประทาน
และพื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารน้อยลง
ดังนั้นหากเราจะทำตามบราซิลให้เพียงพอที่จะใช้แทนน้ำมันโดยไม่ระมัดระวัง
เราจะเจอข้อจำกัดเรื่องปริมาณน้ำเพื่อการเกษตร
และพื้นที่เพาะปลูกที่จะไปแย่งชิงกับพืชอาหาร
อาจจะทำให้พืชอาหารแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นเราจะเจอปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน
เพราะรถยนต์ในประเทศไทยไม่สามารถจะใช้พลังงานแก๊สโซฮอล์ได้มากเหมือนรถยนต์
ในบราซิลที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ
เอ...งั้นเราก็มาปลูกปาล์มน้ำมัน
เอามาทำไบโอดีเซลแทนสิ บางท่านอาจจะคิดเช่นนั้น
ท่านคงทราบกันดีว่าพืชตระกูลปาล์มต้องการน้ำมาก (จึงปลูกได้ดีทางภาคใต้
มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ดังนั้นเราก็จะเจอปัญหาเรื่องน้ำชลประทาน
และพื้นที่เพาะปลูกเช่นกัน นอกจากนั้นน้ำมันปาล์มยังเป็นน้ำมันปรุงอาหาร
ถ้าเราเอามาทำไบโอดีเซลในจำนวนมากก็จะทำให้ราคาน้ำมันพืชแพงมากขึ้น
ราคาอาหารสำเร็จก็จะแพงตาม
นอกจากนั้นรถยนต์ส่วนตัวส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เครื่องยนต์ดีเซล
ถ้ารัฐบาลจะส่งเสริมให้ทุกคนใช้รถยนต์ดีเซลกันหมดตอนนี้ก็จะไปแย่งกันใช้
น้ำมันดีเซลซึ่งเป็นพลังงานหลักในภาคการขนส่ง
หากเกิดการขาดแคลนน้ำมันดีเซลก็จะกระทบกับภาคขนส่ง
มีผลต่อราคาอาหารที่คนในเมืองต้องพึ่งพิงจากขนส่งมาจากต่างจังหวัด
สรุปแล้วการแก้ไขปัญหามันไม่ง่าย จะทำอะไรก็ดูเหมือนจะกระทบกับราคาอาหาร เราจะต้องวางแผนและเริ่มลงมือทำตั้งแต่เมื่อวานนี้
เพราะจะต้องใช้เวลามากในการเตรียมตัว และในการปรับตัว
สุดท้ายเราก็จะสามารถปรับตัวได้ แต่เมื่อดูสถิติแล้ว
เราคงจะลำบากในการปรับตัวมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านของเรา
เพราะประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันมากกว่าประเทศเพื่อน
บ้านของเรา เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมัน เราก็จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่า
และผมเห็นด้วยกับพี่เจมส์ที่ว่ายังมีทางอื่นในการแก้ไขปัญหาก่อนที่เราจะ
ต้องหันไปใช้นิวเคียร์ แต่ภาครัฐจะต้องนำประชาชนไปในทิศทางที่ถูกต้อง
เราต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องพลังงาน
ประชาชนชาวไทยจะหวังเพียงแต่จะหาแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ๆ
อย่างเดียวคงไม่ได้
วันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันมาพิจารณาการลดการใช้พลังงานในประเทศ
ไทย หรือ..เราจะรอให้วิกฤตเกิดขึ้นแล้วค่อยหันมาหาทางแก้ไขปัญหากัน
ปล.
พี่ชุติพนต์อาจจะบอกว่าเพื่อนๆ อย่าเพิ่งรีบหาทางแก้ไขเลย
พี่ชุติพนต์อยากจะเห็นวิถีชีวิตเก่าๆ กลับคืนมาในเร็ววัน (ล้อเล่นนะครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น