9 พฤศจิกายน 2556

ศาสตร์แห่งน้ำ

คำแนะนำจากเพื่อนๆ ในเวปให้สร้างที่พักก่อนเป็นลำดับแรกเป็นแนวคิดที่ไม่เลวเลย  การสร้างขนำจึงเป็นหนึ่งในการทดลองแรกๆ ที่ผมได้เรียนรู้วิธีสร้างบ้านที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและประหยัดพลังงาน  ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นในแนวทางเหล่านี้   หลังจากสร้างขนำเสร็จผมก็มีศูนย์บัญชาการที่สวนเอาไว้เฝ้าสังเกตุ และทดลองสิ่งต่างๆ ภายในสวนแล้ว  ทำให้มีทางเลือกในการไปทำงานที่สวนมากขึ้น  จากเดิมที่ต้องออกเดินทางจาก กทม. ไปตั้งแต่เช้า และต้องรีบกลับทันที่ที่ตะวันตกดิน   ผมสามารถอยู่ดึกได้  สามารถนอนค้างคืนที่สวนได้  เวลาที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ทำให้ผมมีโอกาสสัมผัสความเป็นไปในสวนในช่วงเวลาที่ ยังไม่เคยสังเกตุ เช่น ตอนเช้ามืด ตอนกลางคืน ทำให้มีสามารถเรียนรู้เรื่องใหญ่ของสวนขี้คร้าน คือเรื่องศาสตร์แห่งน้ำมากขึ้น

ก่อนจะเข้าเรื่องในปัจจุบัน ผมอยากจะย้อนกลับไปที่ปัญหาของระบบน้ำในสวนที่เจ้าของเดิมเจอมีดังนี้ :

  • ระบบ น้ำของเจ้าของสวนเดิมเป็นปั๊มเบนซินขนาดใหญ่ใช้เครื่องยนต์ของรถยนต์มาเป็น ตัวขับเคลื่อนปั๊มหอยโข่งขนาดใหญ่เพื่อจะจ่ายน้ำขึ้นเนินสูงระยะทางไกลกว่า 300 เมตร  จ่ายเลี้ยงสปริงเกอร์ในพื้นที่กว่า 18 ไร่
  • เจ้า ของสวนเดิมเลือกปลูกชมพู่ และมะนาวจำนวนมาก  พวกเขาปลูกชมพู่เพชรตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 80-150 บาท  ราคาขายล่าสุดในปี 2555 ที่ตลาดนัดแถวเพชรบุรีกิโลกรับละ 15 บาท  ค่าแรงกำลังขึ้นเป็นวันละ 300 บาท (ชมพู่เพชรถ้าไม่ฉีดฮอร์โมน และไม่ห่อคงไม่ค่อยได้กินครับ)  ส่วนราคาน้ำมันสวนทางกับราคาชมพู่  การเลือกปลูกพืชที่ใช้น้ำเยอะ และการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลักในการรดน้ำประเด็นหนึ่งที่ทำให้เจ้าของ สวนเดิมประสบปัญหาหนี้สินกับ ธกส. กอปรกับปัญหาสุขภาพทำให้ต้องขายสวนล้างหนี้
  • นอก เหนือจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ต้นทุนการสูบน้ำมารดน้ำต้นไม้ สูงอย่างมาก  สวนยังมีปัญหาวัชพืช  ทำให้ต้องเสียค่าจ้างตัดหญ้าราคาเหมาไร่ละ 500 บาทต่อครั้ง ถ้าเป็นจ้างเป็นรายวันจะ 300-350 บาทต่อวันโดยต้องจ่ายค่าน้ำมัน และน้ำมันเครื่องต่างหาก  ต้นทุนการตัดหญ้าสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเช่นกัน  นอกจากนั้นคนรับจ้างตัดหญ้าจะตัดแบบไม่ระวังมักจะตัดโดนสปริงเกอร์ หรือท่อน้ำให้ได้รับความเสียหายเป็นประจำ  หลายๆ ครั้งค่าซ่อมระบบน้ำสูงกว่าค่าจ้างตัดหญ้ามากมายนัก
  • แหล่ง น้ำสำคัญคืออ่างเก็บน้ำซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน และจ่ายน้ำไปให้ชาวบ้านไปทำการเกษตรอีกกว่า 250 ครัวเรือน  การตัดสินใจจ่ายน้ำเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของชาวบ้าน  ในหน้าแล้งปีที่แล้งจัด  น้ำจะไม่มีพอที่จะสูบ  จะต้องต่อท่อดูดไกลออกไปจากจุดเดิมอีกประมาณ 250 เมตร  เจ้าของเดิมจะต้องสูบน้ำด้วยปั๊ม 2 ชุด  ทำให้ต้นทุนน้ำยิ่งสูงขึ้นไปอีก
  • การ เข้ามาของนายทุนโดยเฉพาะนายทุนมากว้านซื้อที่เพื่อไปปลูกยางพารา  มีการเอารถไถเข้าไปเปิดหน้าดินมากขึ้น พร้อมทั้งมีทุนมากพอที่จะทำระบบน้ำสูบจากลำห้วย  ทำให้มีการแย่งกันใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะมากยิ่งขึ้น

เพื่อ หลุดออกจากวงจรเลวร้ายนี้ผมตัดสินใจที่จะเป็นไท จากระบบน้ำแบบเดิมๆ จะลดการพึ่งพาแหล่งน้ำสาธารณะ  ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในการให้น้ำกับพืช ลดต้นทุนการให้น้ำ และเป้าหมายสุดท้ายคือยกเลิกการรดน้ำให้ได้มากที่สุด  ให้พืชกลับไปอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติเท่านั้น  ผมจึงลงมือทดลองหักดิบไม่รดต้นไม้เลย  และจ่ายค่าทดลองเรื่องน้ำด้วยการตายของมะนาวแป้นเกือบ 200 ต้น รวมทั้งต้นไม้อื่นอีกนับสิบต้น  ทำให้ผมเรียนรู้ว่าพืชต้นไหนทนแล้งและยังให้ผลผลิตได้ พืชต้นไหนทนแล้งได้แต่จะไม่ให้ผลผลิต  ที่สำคัญปัญหาที่ประสบทำให้ผมเข้าใจสภาพธรรมชาติที่แท้จริงในพื้นที่ และเป็นแรงพลักดันให้ค้นหาความรู้เกี่ยวกับน้ำอีกมากมาย

ก่อนจะต่อกันเรื่องเทคนิคการจัดการน้ำ  ผมของชี้แจงความแตกต่างของแนวทางของปู่ฟู และปู่บิล  อย่างที่เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าทั้งสอง 2 เชื่อในเรื่องการทำงานร่วมกับธรรมชาติ  ทั้ง 2 ท่านต่างก็เคยเขาไปช่วยแก้ไขปัญหาความแห้งแล้งที่ประเทศต่างจนประจักษ์ว่า วิธีการของทั้งคู่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง

ก่อนจะลงราย ละเอียดอยากให้เพื่อนๆ เข้าใจว่าในการปรับสภาพพื้นที่จะมีมิติของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง  หมายความว่าการเลือกวิธีการ การเลือกพืชในแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน  สิ่งที่เราลงมือวันนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป

หัวใจ ในการปรับสภาพพื้นที่แห้งแล้งคือจะต้องหาทางช่วยธรรมชาติให้มีต้นไม้จำนวน มากขึ้นให้ได้ก่อน  เมื่อมีต้นไม้ขึ้นในพื้นที่  การทำงานของธรรมชาติก็จะเริ่มเข้ามาช่วยเรา  โดยต้นไม้จะทำงานร่วมกับแบคทีเรีย และฟังไจ ทำให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้มากขึ้น  ในระยะถัดมาเศษของต้นไม้ (เช่น ใบไม้ กิ่งไม้) ที่ร่วงหล่นก็จะเริ่มผุพังกลายเป็นฮิวมัส  ฮิวมัสจะเป็นตัวการสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดินร่วมกับ ต้นไม้  เมื่อดินสามารถอุ้มน้ำได้มากขึ้นกว่าสภาพดินเดิมมากๆ เราก็จะเริ่มปลูกพืชที่หลากหลายชนิดได้มากขึ้น

แนวทางของปู่ฟูจะให้ ธรรมชาติช่วยหาพืชที่เหมาะสมกับสภาพน้ำในช่วงเริ่มต้น ไม่ต้องขุดสระ ไม่ต้องพรวนดิน ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องกำจัดวัชพืช ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง ปู่ฟูจะแนะนำเพียงให้หาเมล็ดพันธุ์ของพืชท้องถิ่นที่สามารถรอดได้ในสภาพดิน ที่แห้งแล้งมาหลายๆ ชนิด  แล้วนำเอารวมกันเพื่อทำกระสุนดิน (หาอ่านรายละเอียดได้ในหนังสือของปู่ฟู)  จำนวนมาก  จากนั้นก็จะหว่านกระสุนดินออกไปให้ทั่วๆ เมื่อเจอสภาพที่เหมาะสม  ต้นไม้จะงอกได้เองตามธรรมชาติจะของแต่ละพื้นที่ที่กระสุนดินตกลงไป เนื่องจากเราจะเลือกต้นไม้ในท้องถิ่นซึ่งทนแล้ง/กินน้ำน้อย จึงมีโอกาสที่จะรอดเติบโตเป็นต้นใหญ่ค่อนข้างสูง  เราอาจจะต้องทำซ้ำแบบนี้หลายๆ ปี  เพื่อเร่งอัตราการเพิ่มขึ้นของต้นไม้ท้องถิ่น (มากกว่าที่ธรรมชาติจะทำได้เอง)  เมื่อต้นไม้เหล่านี้เพิ่มขึ้นในจำนวนที่มากพอ  สภาพของดินที่เราไม่ไปยุ่งกับมันมากก็จะค่อยๆ ฟื้นคืนกลับสู่สมดุล  อุ้มน้ำได้มากขึ้น  ในที่สุดความชื้นในดินก็จะค่อยๆ กลับมาจนกระทั่งเราสามารถเพาะปลูกพืชอื่นๆ ได้มากชนิดขึ้นเรื่อยๆ  วิธีการของปู่ฟูจะแทรกแซงธรรมชาติน้อยมาก และปล่อยให้กลไกของธรรมชาติค่อยๆ พลิกฟื้นบริเวณนั้นเอง

หลักการของปู่ฟูเป็นหลักการที่ดีมาก  แต่...มนุษย์เรามีความประหลาดอย่างหนึ่งคือชอบฝืนธรรมชาติ  สังเกตุได้จากที่เวลามีคนไปทำเกษตรใหม่ๆ ในพื้นที่ที่แห้งแล้ง  มีคนจำนวนมากจะพยายามปลูกพืชที่ตนเองชอบ หรืออยากจะเก็บเกี่ยวมาขายแลกเงิน  โดยไม่ได้คำนึงถึงอัตราการใช้น้ำของพืชชนิดนั้นๆ  เราก็จะพยายามแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการขุดสระน้ำ ลงทุนกับระบบน้ำจำนวนมาก และพยายามปลูกให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด เร็วที่สุด  สุดท้ายก็ต้องใช้ความพยายามมากในการทำให้พืชต่างๆ รอด และให้ผลผลิตตามที่ต้องการ   วิธีการแบบนี้ของปู่ฟูจึงค่อนข้างจะไม่ได้รับการยอมรับโดยเกษตรกรในวงกว้าง (แม้นแต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง) เนื่องจากเกษตรกรมักจะใจร้อน  ทนรอให้ธรรมชาติทำงานไม่ได้ ไม่ชอบที่ไม่สามารถควบคุมได้ว่าต้นไม้ไหนต้องอยู่ตรงไหน (ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมสำหรับธรรมชาติของต้นไม้ชนิดนั้น) กอปรกับมีปัญหาเรื่องปากท้องเฉพาะหน้า สุดท้ายก็จะกลับไปทำแบบเดิมๆ แล้วกลับเข้าสู่วงจรแบบเดิม

หมายเหตุ วิธีการจะของปู่ฟูจะคล้ายกับวิธีการ "ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก" แต่จะเกิดป่าเร็วกว่าด้วยการเพิ่มโอกาสที่ไม้ป่าจะงอกเพิ่มขึ้นด้วยกระสุน ดิน  แต่ก็หมายความว่าจะต้องมีภาระในการไปเก็บเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ และการทำกระสุนดิน

ปู่บิลนำเสนอวิธีการที่แตกต่างคือให้มีการปรับ พื้นที่ให้เหมาะสมมากกว่าปกติ เพื่อเอื้อในการที่พืชจำนวนหนึ่งจะเติบโตได้  หากมีทรัพยากรจำกัด ปู่บิลจะแนะนำให้เริ่มต้นปลูกต้นไม้ที่บางพื้นที่ที่เราไปปรับสภาพช่วย ธรรมชาติแล้ว  เราจะต้องดูแลต้นไม้ในบริเวณนี้มากเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันจะอยู่ รอดได้ หลังจากที่ต้นไม้ของเราเริ่มอยู่ตัวแล้ว  จึงค่อยๆ ขยายการปลูกออกไปจากแนวต้นไม้เก่าที่เริ่มอยู่ตัวแล้ว  สุดท้ายสภาพของดินในบริเวณที่เราดูแลเป็นพิเศษเริ่มฟื้นคืนกลับสู่สมดุล  อุ้มน้ำได้มากขึ้น  ความชื้นในดินก็จะค่อยๆ กลับมาจนกระทั่งเราสามารถเพาะปลูกพืชอื่นๆ ได้มากชนิดขึ้นเหมือนวิธีของปู่ฟู  วิธีการของปู่บิลก็จะต้องอาศัยความพยายามของมนุษย์มากขึ้นในการดูแลต้องไม้  ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปรับสภาพในแต่ละจุดที่มนุษย์เข้าไปดูแลเป็นพิเศษจะ นานถึง 3-5 ปีก่อนที่เราจะสามารถปล่อยมันตามธรรมชาติได้  แต่ก็ยังคงไม่ทันใจสำหรับคนที่มีพื้นที่เยอะๆ และต้องการได้ผลผลิตเยอะๆ ในเวลาอันรวดเร็ว  ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของมหาตมะคานธีที่ว่า


"Earth provides enough to satisfy every man's need, but not every man's greed"
"ทรัพยากรบนโลกมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นของทุกคน แต่ไม่พอสำหรับความโลภของทุกคน"

ตอน นี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วที่มีคนวิพากวิจารณ์ปู่ฟูว่าท่านเป็นพระในคราบของ เกษตรกร  เนื่องดูเหมือนปู่ฟูจะยอมรับกับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ มีความรู้สึกพอ ไม่มีความโลภความต้องการที่จะเข้าควบคุมการทำงานของธรรมชาติ  เหมือนปู่ฟูจะมีความลึกซึ่งทางจิตวิญาณเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปอาจจะเข้าถึง ได้ทุกคน

ส่วนวิธีของปู่บิลดูเหมือนจะเป็นวิธีการที่มนุษย์ที่ยังละกิเลสไม่ได้ (แต่ก็พยายามจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ) ใช้เป็นแนวทางในการช่วยให้ธรรมชาติ กลับคืนสู่จุดสมดุลโดยเร็วขึ้น  วิธีการเหล่านี้จะต้องอาศัยการออกแรงช่วยจากมนุษย์มากกว่าวิธีการของปู่ฟู แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะให้ผลในพื้นที่จำกัดเร็วกว่า (แต่ถ้าต้องการครอบคลุมพื้นที่ใหญ่มากๆ วิธีการของปู่ฟูจะเร็วกว่า เพราะด้วยแรงงานที่เท่ากันจะสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่ามาก)  เราจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีการต่างๆ ที่กลุ่มเพอร์มาคัลเจอร์ปฏิบัติ นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และทรัพยากร  และ...ไม่ผิดกติกาเลยที่เราจะเลือกผสมผสานทั้งวิธีการของปู่ฟู กับวิธีการของปู่บิล ตามโซนของพื้นที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น