สำหรับประเทศจีน
ปัญหาเรื่องความแห้งแล้งและการขาดแคลนน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่
เป็นสิ่งที่ดูเหมือนอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของจีน
ที่สามารถย้อนหลังไปได้มากกว่า 4
พันปีที่มีการบันทึกในเรื่องของคลองส่งน้ำและการใช้น้ำบาดาล แม้ในปัจจุบัน
ประชากรของจีนมีน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้เฉลี่ยต่อปีเท่ากับหนึ่งในสี่ของ
ปริมาณน้ำเฉลี่ยที่ใช้กันต่อประชากรของโลก หรืออยู่ที่ 2,117
ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี (มากกว่าอินเดีย น้อยกว่าประเทศไทย)
สำหรับเขตภาคเหนือของประเทศจีนรวมถึงปักกิ่งที่เป็นเมืองหลวง
สถานการณ์ดูเหมือนยิ่งเลวร้าย
ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
แต่มีน้ำที่สามารถใช้ได้น้อยกว่า หนึ่งในห้า ของน้ำทั้งหมดของประเทศ
นั่นคือ
ประชากรทางตอนเหนือมีน้ำที่สามารถใช้ได้เพียงหนึ่งในสี่ของประชากรทางใต้ของ
ประเทศ
แตกต่างกับแนวทางของประเทศอินเดียที่เน้นการอนุรักษ์น้ำเพื่อ
ให้ชุมชนสามารถประทังชีพได้จากปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่
รัฐบาลกลางของประเทศจีนมักแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำด้วยวิธีการสร้างเขื่อน
คลองส่งน้ำขนาดใหญ่ ตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศ จนถึงปัจจุบัน
ตรงข้ามกับอินเดียที่มีการปกครองแบบสหพันธรัฐ
จีนที่มีลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้รัฐบาลกลาง
การดำเนินการโครงการขนาดใหญ่จึงสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบกลไก
ของรัฐ
เมื่อประเทศจีนได้เริ่มเปิดประเทศเพื่อรองรับการลงทุนจาก
ต่างประเทศ
ทำให้ประเทศจีนมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าสองหลักมากว่าทศวรรษ
ความจำเป็นในการต้องใช้ทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและ
ประชากรเพิ่มสูงขึ้น ตามรายงานของธนาคารโลก ความต้องการน้ำในจีนเพิ่มขึ้น
32% หรือ 818 พันล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2573
รัฐบาลกลางจีนทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลใช้ลงทุนในการสร้างโครงการที่เกี่ยว
กับทรัพยากรน้ำขนาดใหญ่ อาทิเช่น
โครงการส่งน้ำใต้สู่เหนือที่นำน้ำจากแม่น้ำแยงซี เข้าสู่แม่น้ำเหลือง
โดยการก่อสร้างใช้งบประมาณมากกว่า 5.8 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเสร็จในปี
2557
โครงการเขื่อนสามผาทั้งสองโครงการส่งผลกระทบต่อสังคมและสภาพแวด
ล้อมอย่างมหาศาล
การ
ที่รัฐบาลจีนยังคงแนวความคิดการจัดการทรัพยากรน้ำเรื่องโครงการส่งน้ำขนาด
ใหญ่ ได้ทำให้เกิดกรณีพิพาทขึ้น
อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดการน้ำของจีนเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงขึ้นทั้งใน
ประเทศและต่างประเทศ โดยประชาชนในเขตเหอเป่ย
แสดงความไม่พอใจกับโครงการส่งน้ำใต้สู่เหนือ
ในการที่ต้องแบ่งน้ำส่งยังคลองส่งน้ำเข้าสู่กรุงปักกิ่ง
กลายเป็นประเด็นพิพาทในระดับภูมิภาค
กับการที่จีนได้เข้าควบคุมแหล่งน้ำในทิเบตอันเป็นต้นน้ำสำคัญของประเทศ
อินเดียและประเทศในอาเซียน
การเติมน้ำลงใต้ดินเป็นกระบวนการไหลซึม
ของน้ำจากผิวดินสู่ชั้นระดับน้ำใต้ดิน
กระบวนนี้อาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หรือผ่านการเติมโดยโครงโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงจำนวนมากของจีน
อันได้แก่ เขื่อน ม่านวาน (Manwan) เขื่อนต้าเฉาซาน (Dachaoshan)
เขื่อนจิ่งหง (Jinghong)
และอีกสามเขื่อนซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอันได้แก่ เขื่อนกงกว่อเฉียว
(Gongguoaiao) เขื่อนเสี่ยววาน (Xiaowan) และเขื่อนนั่วจาตู้ (Nuozhadu)
ยังมีแผนสร้างอีกสองเขื่อน อันได้แก่ เขื่อนเม็งซอง (Mengsong)
และเขื่อนกันหลั่นป้า (Ganlanba)
ทำให้เกิดปัญหาความแห้งแล้งในลุ่มน้ำตอนล่างอันกระทบต่อ ประเทศในแถบอาเซียน
อันได้แก่ ไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว
ทำให้ประเทศในตอนล่างของลุ่มน้ำโขงได้รับผลกระทบจากการเหือดแห้งของน้ำ
เมื่อ มีนาคม 2553 อันกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรสองฝั่งแม่น้ำ
และได้กลายเป็นประเด็นข้อถกเถียงระหว่างประเทศ
เห็นได้ว่าการดำเนินการของจีนในเรื่องนโยบายที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ
กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้น
จีน
ได้วางแผนในการสร้างเขื่อนในแม่น้ำหยาหลง ซางโป (Yarlong Zangpo)
ที่ไหลผ่านอินเดียและบังกลาเทศในชื่อแม่น้ำพรหมบุตร (Brahmaputra)
โครงการเขื่อนซางโป (Tsang Po) ใช้พื้นที่ในการรับน้ำจำนวน 90,000
ตารางกิโลเมตรในอินเดีย ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่จีนอ้างสิทธิครอบครอง
ทางการอินเดียได้แสดงความวิตกกังวลในการประชุมครั้งล่าสุดกับจีนในโครงการ
ดังกล่าว
การขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาใหญ่
แต่การดำเนินการของจีนในเรื่องการสร้างเขื่อน ส่งผลให้เกิดปัญหา
เป็นการเพิ่มความตึงเครียดกับทางอินเดียมากขึ้นรวมถึงกับประเทศที่ได้รับผล
กระทบจากแม่น้ำโขง จนอาจกลายเป็นข้อพิพาทในระดับภูมิภาค
จีนต้องเลือกระหว่างสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับความต้องการทรัพยากรน้ำของตน
กับประเทศเพื่อนบ้าน หรือความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น
จนนำไปสู่การพิพาทเรื่องแหล่งน้ำ
จีนสามารถแก้ปัญหาเรื่องทรัพยากร
น้ำ นอกเหนือจากการสร้างโครงการขนาดใหญ่
ที่หลายประเทศมองว่าเป็นการกอบโกยทรัพยากรน้ำ
แต่ไม่ได้มีการจัดการบริหารน้ำภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพรองรับ
จีนต้องหันกลับมาปรับปรุงการบริหารจัดการความต้องการน้ำให้ดีขึ้น (demand
management) ดังที่ปรากฏในรัฐอุตตรประเทศของประเทศอินเดีย
เพื่อให้สามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
โดยไม่ทำให้ต้องมีการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น
การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและมลพิษทางน้ำต่างๆ
ที่เพิ่มสูงขึ้นตามการเจริญของอุตสาหกรรม
การออกกฎหมายและบังคับใช้ในเรื่องการบำบัดน้ำเสียในอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง
เข้มงวด เป็นต้น
การควบคุมความต้องการในการใช้น้ำโดยผ่านกลไกด้าน
ราคา เป็นทางเลือกที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้น้ำ
ดังเช่นที่ประสบความสำเร็จในสิงคโปร์
ในการกำหนดผ่านอัตราภาษีในการใช้น้ำในอัตราที่สูงขึ้นกับการใช้น้ำที่เกิน
กว่า 40 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน
และการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมกับอุตสาหกรรมที่มีการใช้ทรัพยากรน้ำเกิน
กว่าที่กำหนด ทั้งจีนและอินเดียสามารถนำมาปรับใช้กับเขตเมือง
ที่มีอัตราในการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ในส่วนของภาค
เกษตรกรรม ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนยากจน
การนำกลไกราคามาใช้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา
การบริหารจัดการน้ำผ่านการเลือกปลูกพืชที่เหมาะสมเป็นแนวทางในการจัดการ
บริหารน้ำโดยให้ทางเกษตรกรผู้เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ
และสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง ดังปรากฏในรัฐอุตตรประเทศ
เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการจัดการบริหารความต้องการน้ำในอนาคต
ปัญหา
ความขาดแคลนน้ำเพิ่มความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
การขาดแคลนน้ำส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อการเจริญเติบโตของประเทศ
ก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอันมีผลต่อประชากรทั้งประเทศ
และเสี่ยงต่อความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างประเทศ
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในอนาคต จึงเป็นการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศ
รวมกับระบบที่มีประสิทธิภาพในประเทศ
จากปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำที่
เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างประเทศต้น
น้ำกับประเทศท้ายน้ำ
ชนบทที่ใช้น้ำเพื่อการกสิกรรมกับเขตเมืองที่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค
ดังนั้น มาตรการกระจายน้ำให้เท่าเทียมกันอย่างยุติธรรม
จึงสะท้อนให้เห็นถึงความยุติธรรมในสังคมนั้น
การกระจายน้ำให้ทั่วถึง
อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม สามารถสะท้อนผ่านกลไกด้านราคาและภาษี
ในเขตเมืองซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีรายได้สูง การนำกลไกด้านภาษีมาใช้
ดังเช่นรูปแบบที่สิงคโปร์ดำเนินการ สามารถกระทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งตรงกันข้ามกับเขตชนบทที่ต้องพึ่งพาน้ำเพื่อการกสิกรรมและสร้างรายได้
กลไกด้านราคาและภาษีจำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการนำไปสู่การปฏิบัติ
แต่การให้เกิดความเข้าใจในเรื่องคุณค่าของทรัพยากรน้ำและการมีส่วนร่วมเพื่อ
ให้เกิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นความจำเป็นอันเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ
ดังเช่นที่เกิดขึ้นในรัฐอุตตรประเทศ
สำหรับความขัดแย้งระหว่าง
ประเทศในเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ประเทศที่อยู่ในลุ่มน้ำคงต้องจัดสรรผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำดังกล่าวร่วม
กัน ตามลักษณะของความเหมาะสมของแต่ละประเทศ
ดังตัวอย่างกรณีของโครงการเขื่อนในประเทศลาว
ซึ่งเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นหุบเขา และมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน
ประกอบกับการที่มีประชากรน้อย
ทำให้การสร้างเขื่อนเกิดปัญหาในแง่ผู้ได้รับผลกระทบไม่มาก ประมาณกันว่า
ประเทศลาวสามารถสร้างเขื่อนได้มากกว่า 70 แห่ง
ซึ่งสามารถส่งน้ำและไฟฟ้าให้ประเทศใกล้เคียง
อันเนื่องจากการที่ประชากรในประเทศลาวน้อย
การบริโภคน้ำและไฟฟ้าจึงมีปริมาณน้อย ทำให้มีปริมาณน้ำส่วนเกินในการส่งออก
ซึ่งขณะนี้มีการลงทุนของประเทศไทย 2 แห่ง และเกาหลีใต้อีก 1 แห่ง
เขื่อนดังกล่าวสามารถส่งน้ำและไฟฟ้าส่วนเกินเลี้ยงประเทศไทยและประเทศใกล้
เคียงได้ อันเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่เกิดขึ้นในภูมิภาค
หมายเหตุ
ขอบคุณข้อมูลจากบทความเรื่อง "วิกฤติการขาดแคลนน้ำของจีน-อินเดีย กับ
ความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น" โดย : ดร.พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล,
สมยศ อรรคฮาดสี ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
สำหรับประเทศไทย
บทเรียนเรื่องการขาดแคลนและการบริหารจัดการน้ำของจีนและอินเดีย
แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า ปัญหาเรื่องความมั่นคงของด้านทรัพยากรน้ำ หมายถึง
ความมั่นคงของอาหารในการเลี้ยงประชากร ความมั่นคงในเรื่องพลังงาน
ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก
อันเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการพิจารณาแก้ไขในภาพรวม
รวมถึงต้องมีความร่วมมืออย่างจริงจังในระหว่างประเทศ
ความร่วมมือในเรื่องโครงการลุ่มน้ำโขง อันประกอบด้วย ประเทศไทย จีน พม่า
เวียดนาม ลาว และเขมร
ต้องมีการวางแผนระยะยาวในเรื่องการแบ่งปันประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรน้ำ
ใน
ส่วนภาคเกษตรกรรม
การจัดการน้ำของรัฐอุตตรประเทศของอินเดียเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับรัฐบาลไทย
ในเรื่องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินในเรื่องการบริหารจัดการ
น้ำ รวมถึงการกำหนดประเภทของพืชที่จะทำการเพาะปลูก
ภายใต้การสนับสนุนเรื่องข้อมูลต่างๆ
ที่ช่วยให้หมู่บ้านสามารถดำเนินการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาทิเช่น การวัดปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำใต้ดิน เป็นต้น
ขณะที่โครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับน้ำ อาทิเช่น เขื่อนขนาดใหญ่
เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และประสบปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน
ดังเช่นที่ประสบปัญหาในจีน
ที่ต้องเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการน้ำในประเทศ
มากกว่าการแสวงหาแหล่งน้ำใหม่เพียงอย่างเดียว
จากงบประมาณในโครงการ
ของภาครัฐ จะพบว่างบประมาณส่วนใหญ่ได้ใช้ในเรื่องของโครงการต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการชลประทานขนาดใหญ่
ภาครัฐของไทยกำลังไปพยายามบริหารจัดการที่ปลายน้ำ หรือกลางน้ำ (เช่น
แม่น้ำสายหลัก) แทนที่จะไปบริหารจัดการที่ต้นน้ำ
งบประมาณดังกล่าวควรที่จะนำมาส่งเสริมการสร้างเขื่อนขนาดเล็ก ฝาย
ระบบการจัดเก็บน้ำฝน หรือโครงสร้างการเติมน้ำลงใต้ดินต่างๆ
ในระดับครัวเรือน/หมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพ
อันเป็นการเพิ่มพื้นที่ในการรองรับน้ำเพิ่มขึ้น
และสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวมากกว่าโครงการขนาดใหญ่
ที่มีปัญหาทั้งในแง่สิ่งแวดล้อม และการจัดสร้างเพิ่มมากขึ้น
โดยในช่วงต้นควรจะไปเน้นที่พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่ที่ความสูงในทุกๆ
จังหวัด เพื่อจะชะลอน้ำที่จะไหลมารวมในแม่น้ำ เพิ่มการซึมของน้ำลงใต้ดิน
ลดการไหลของตะกอนมาลงแม่น้ำ
ทำให้การซึมของน้ำจากแม่น้ำลงในดินทำได้มากขึ้น
(เนื่องจากตะกอนโคลนตมเหล่านี้จะไปอุดตันการไหลของน้ำลงใต้ดิน)
ลดการสะสมของตะกอนดินเหนือเขื่อน (ซึ่งทำให้เขื่อนมีอายุสั้นลง
และลดประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของเขื่อน การที่เขื่อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เราก็อาจจะไม่ต้องสร้างเขื่อนจำนวนมากจนเกินไป)
ผมไม่ทราบว่าเราจะรอ
ให้ภาครัฐรู้ตัวแล้วหันมาส่งเสริมการอนุรกษ์น้ำที่ระดับครัวเครือ/ชุมชนหรือ
เปล่า? แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน
ผมคิดว่ารัฐบาลคงจะวุ่นวายกับสถานการณ์เฉพาะหน้าของเขาไปก่อน
ทั้งปัญหาราคาสินค้าเกษตร
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง
ต่อให้วันนี้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลของอีกค่ายหนึ่งก็ยังคงต้องมุ่งที่การบริหาร
ความขัดแย้งของคนในชาติเป็นหลักก่อน
ดูท่าแล้วท่าทางภาคประชาชนคงจะรอให้ภาครัฐเป็นคนริเริ่มไม่ไหว
เราคงจะพยายามริเริ่มกันไปเองก่อน
แล้วได้แต่ภาวนาว่าสักวันหนึ่งภาครัฐจะมีดวงตาเห็นธรรม(ชาติ)
ปล1.
ที่หมู่บ้านผมเริ่มต้นบ้างแล้ว
โดยมีโครงการสร้างฝายชะลอน้ำบนภูเขาบริเวณต้นน้ำ
การปลูกแฝกตามแนวลำห้วยส่งน้ำไปยังหมู่บ้าน
และโครงการปลูกป่าชุมชนเฉลิมพระเกียรติ
แต่ดูเหมือนโครงการเหล่านี้จะถูกพลักดันมาจากทีมงาน NGO
ของโครงการปิดทองหลังพระ และมูลนิธิชัยพัฒนา
ไม่ได้เป็นโครงการของภาครัฐดังที่เคยหวังไว้
ปล2. ถ้าเป็นโครงการของภาครัฐอาจจะสนับสนุนการปลูกหญ้าแพรกแทน